ยินดีต้อนรับสู่ด่านที่สอง เมื่อศัตรูคือใจตัวเอง

ภาพวาดมนุษย์เงินเดือนถูกรัดด้วยสินค้าแบรนด์เนม สื่อถึงกับดัก Lifestyle Inflation และภาวะเงินเฟ้อของไลฟ์

สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Start Again ทุกคน... ยินดีต้อนรับกลับสู่ขบวนรถไฟสาย "ล้างไพ่" ขบวนเดิมครับ หลังจากที่ใน EP.1 เราได้ทำการระเบิดภูเขาเผากระท่อมทางความคิด รื้อถอนความเชื่อผิดๆ เรื่องการศึกษาและภาษีสังคมกันไปจนเหี้ยนเตียนแล้ว วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ เดินหน้าเข้าสู่ ด่านที่สอง ของเกมชีวิตการเงิน ด่านนี้โหดหินกว่าด่านแรกเยอะครับ เพราะศัตรูที่เราต้องเจอไม่ใช่คนอื่นไกล ไม่ใช่เพื่อนขี้อวด หรือป้ายโฆษณาลดราคา แต่มันคือ "ความโลภ" ที่ซ่อนอยู่ในใจเรา ซึ่งมันจะเติบโตขึ้นตามตัวเลขในสลิปเงินเดือนของเรานี่แหละครับ 

ปริศนาเงินเดือนหมื่นห้า เงินส่วนต่างหายไปไหน?

สารภาพตามตรงเลยครับว่าเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้ มันคือ เรื่องน่าขำที่ขำไม่ออก ที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของมนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเรา ลองคิดเล่นๆ ดูนะครับ... เพื่อนๆ ยังจำความรู้สึกวันแรกที่เริ่มทำงานได้ไหมครับ? วันที่เรายังเป็นเด็กจบใหม่ไฟแรง รับเงินเดือนสตาร์ทที่ 15,000 บาท ตอนนั้นเราตื่นเต้นแทบบ้า วางแผนดิบดีว่าจะใช้ยังไง จะเก็บยังไง เรานั่งรถเมล์ไปทำงาน กินข้าวแกงข้างทาง พักอยู่หอพักห้องเล็กๆ แต่เชื่อไหมครับว่า... เราก็รอดมาได้ทุกเดือน อาจจะมีตึงมือบ้าง ทุลักทุเลบ้าง แต่เราก็ไม่เคยอดตาย แถมบางเดือนยังมีเงินเหลือเก็บหลักร้อยไว้หยอดกระปุกด้วยซ้ำ เรามีความสุขตามอัตภาพ และมีความหวังเปี่ยมล้นว่า "เดี๋ยวรอให้ฉันเงินเดือนขึ้นก่อนเถอะ ฉันจะรวยให้ดู"

แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ... เวลาผ่านไป 3 ปี 5 ปี เราทำงานหนักจนสายตัวแทบขาด แลกมาด้วยตำแหน่งที่สูงขึ้น และเงินเดือนที่ขยับขึ้นมาเป็น 25,000 หรือ 30,000 บาท ซึ่งถ้าคำนวณตามหลักคณิตศาสตร์ ป.4 ง่ายๆ เลยนะครับ เราควรจะมีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้นเดือนละหมื่นกว่าบาทตามส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นใช่ไหมครับ? แต่ กลายเป็นว่า ความจริงมันกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ยิ่งเราหาเงินได้มากเท่าไหร่ เงินมันกลับยิ่งไม่พอใช้หนักกว่าเดิม ดีไม่ดีสภาพคล่องทางการเงินของเราในตอนที่เงินเดือนสามหมื่น กลับดูร่อแร่และฝืดเคืองยิ่งกว่าตอนเงินเดือนหมื่นห้าเสียอีก มันเหมือนกับว่ายิ่งเราพยายามว่ายน้ำไปข้างหน้าแรงแค่ไหน กระแสน้ำก็ยิ่งพัดเราถอยหลังกลับไปไกลกว่าเดิม จนเกิดเป็นคำถามที่ดังก้องอยู่ในหัวเราทุกสิ้นเดือนว่า "เงินส่วนต่างที่ฉันหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง... มันหายหัวไปไหนหมด?" 

เปรียบเทียบชีวิตเด็กจบใหม่ที่มีเงินเหลือเก็บ กับผู้บริหารเงินเดือนสูงแต่มีหนี้สินรุงรังจากภาษีสังคม

รู้จักกับศัตรูตัวฉกาจ Lifestyle Inflation ภาวะเงินเฟ้อของชีวิต

สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เงินส่วนต่างเหล่านั้นอันตรธานหายไปไม่ใช่เพราะเราทำหล่นหายระหว่างทาง หรือโดนโจรที่ไหนมาปล้นไปหรอกครับ แต่มันระเหยหายไปเพราะปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ชื่อดูวิชาการแต่ผลลัพธ์แสบสันว่า Lifestyle Inflation หรือ ภาวะเงินเฟ้อของไลฟ์สไตล์ นี่แหละครับตัวการสำคัญ

อธิบายให้เห็นภาพชัดๆ แบบไม่ต้องเปิดตำราเลยนะครับ คือทันทีที่ตัวเลขรายรับในบัญชีเราเพิ่มขึ้น สมองของเรามันจะทำหน้าที่ประมวลผลอย่างรวดเร็วเลยครับว่า "เฮ้ย! เรามีตังค์แล้ว เราต้องยกระดับชีวิตสิวะ" มันเหมือนมีเสียงปีศาจกระซิบข้างหูตลอดเวลาว่า เราเหนื่อยมาทั้งเดือนแล้ว เราตรากตรำทำงานหนักขนาดนี้ เราคู่ควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีกว่าเดิมไม่ใช่เหรอ?

จากที่เมื่อก่อนสมัยจบใหม่ เราเคยกินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวร้านป้าข้างออฟฟิศจานละ 40-50 บาท ก็อิ่มท้องทำงานต่อได้เหมือนกัน แต่พอเงินเดือนขึ้นปุ๊บ ลิ้นเราเริ่มจะรับรสชาติเดิมๆ ไม่ได้ขึ้นมาดื้อๆ เราเริ่มมองหาร้านอาหารในห้างที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ จานละ 150-200 บาท โดยให้เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า "ก็นานๆ ทีหน่า" หรือ "ซื้อความสะดวกสบาย" จากที่เคยยอมเบียดเสียดบนรถเมล์หรือรถตู้เพื่อประหยัดเงิน ก็เริ่มเปลี่ยนนิสัยมากดเรียก Grab หรือ Taxi บ่อยขึ้น เพราะไม่อยากเหงื่อออก ไม่อยากตื่นเช้า หรือแค่อยากนั่งสบายๆ 

กับดัก "รางวัลชีวิต" ที่กลายเป็นการลงโทษตัวเอง

เรามักจะเรียกพฤติกรรมเสพติดความสบายพวกนี้ด้วยคำพูดสวยหรูว่า"การให้รางวัลตัวเอง" ครับ ซึ่งฟังดูดีมีเหตุผลมาก ใครได้ยินก็ต้องพยักหน้าเห็นด้วย แต่ เอาจริงๆ นะครับ... ถ้าลองมองให้ลึกลงไปถึงแก่น มันคือการที่เรากำลัง ลงโทษ เงินในกระเป๋าตัวเองชัดๆ เรากำลังขยายขนาดกรงขังทางการเงินของตัวเองให้ใหญ่ขึ้น หรูหราขึ้น แต่สุดท้ายเราก็ยังติดอยู่ในกรงที่ชื่อว่า "เดือนชนเดือน" เหมือนเดิม ไม่ได้มีอิสรภาพเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียวครับ

และถ้าเพื่อนๆ คิดว่าเรื่องการกินอยู่มันเป็นรูรั่วที่น่ากลัวแล้ว ผมบอกเลยครับว่ามันยังเทียบไม่ได้เลยกับ "กับดักทางสังคม" ที่อัปเกรดความรุนแรงขึ้นตามฐานเงินเดือนของเรา ใน EP.1 ผมเคยพูดถึงเรื่องภาษีสังคมในมุมของการสร้างภาพไปแล้วใช่ไหมครับ? แต่ใน EP นี้ ภาษีสังคมมันจะมาในรูปแบบที่แนบเนียนกว่านั้นครับ มันมาในรูปแบบของความกดดันที่เราสร้างขึ้นมาเอง เพราะเราไม่อยากดู "กระจอก" หรือดูแปลกแยกในสายตาคนอื่น

ลองสังเกตดูนะครับ พอเราเริ่มมีรายได้แตะหลัก 2-3 หมื่นบาท สังคมรอบข้างเรามักจะเริ่มเปลี่ยนไป หรือต่อให้สังคมไม่เปลี่ยน ตัวเราเองนี่แหละครับที่เปลี่ยน เราเริ่มมองเห็นเพื่อนร่วมงานใช้ของแพงขึ้น เห็นเขาถอยมือถือรุ่นใหม่ล่าสุด เห็นเขาถือแก้วกาแฟแบรนด์ดัง แล้วใจเรามันก็เริ่มแกว่ง เราเริ่มรู้สึกว่า "เฮ้ย! คนอื่นเขามีกันหมด ถ้าเราไม่มี เราจะดูด้อยกว่าเขาไหม?" หรือ "ถ้าเรายังใช้มือถือหน้าจอแตกๆ เครื่องละไม่กี่พัน เราจะดูไม่เป็นมืออาชีพหรือเปล่า?"

สุดท้ายแล้ว เราก็ยอมควักเงินก้อนโตที่แทบจะเป็นเงินเก็บทั้งชีวิต ไปแลกกับ "พร็อพ" หรืออุปกรณ์ประกอบฉากทางสังคมพวกนี้มาประดับบารมี เสื้อผ้าต้องขยับเกรด กาแฟต้องเปลี่ยนร้าน มือถือต้องเปลี่ยนรุ่น ทั้งที่ฟังก์ชันการใช้งานจริงๆ มันก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่หรอกครับ แต่สิ่งที่เรายอมจ่ายแพงกว่า คือเราจ่ายเพื่อซื้อ "ความมั่นใจจอมปลอม" และซื้อ "การยอมรับ" จากคนที่เราอาจจะไม่ได้สนิทด้วยซ้ำ

ผลที่ตามมาก็คือ เรากลายเป็นคนที่มีเปลือกนอกดูดีมีชาติตระกูล เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ดูประสบความสำเร็จในไอจีสตอรี่ แต่ข้างในกลับกลวงโบ๋เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือรายจ่ายที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว จนแทบไม่มีเงินเหลือเก็บไว้สร้างอนาคตจริงๆ จังๆ สักบาท นี่แหละครับคือโศกนาฏกรรมของคนที่พยายามทำตัวรวย แต่ลืมไปว่าความรวยที่แท้จริงวัดกันที่ "ทรัพย์สิน" ไม่ใช่ "หนี้สิน" หรือ "ข้าวของ" ที่โชว์ชาวบ้านครับ 

กฎเหล็กพาร์กินสัน ทำไมรายจ่ายถึงวิ่งไล่กวดรายรับ?

เพื่อนๆเคยได้ยินกฎทางเศรษฐศาสตร์จิตวิทยาข้อหนึ่งที่ชื่อว่า กฎของพาร์กินสัน (Parkinson’s Law) ไหมครับ? ชื่อมันอาจจะฟังดูวิชาการเหมือนยาแก้ปวดหัว แต่เนื้อหาข้างในมันคือคำตอบของทุกอย่างที่เรากำลังเจอกันอยู่เลยครับ กฎนี้เขาสรุปความจริงที่เจ็บแสบเอาไว้สั้นๆ ว่า "รายจ่าย จะขยายตัวขึ้นจนเท่ากับ รายรับ เสมอ" อ่านแล้วสะดุ้งไหมครับ? นี่แหละครับคือคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไมยิ่งเราทำงานหนัก ยิ่งเงินเดือนขึ้น เราถึงยิ่งไม่มีเงินเก็บ เพราะโดยสัญชาตญาณของมนุษย์ เราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เก็บส่วนต่างครับ แต่เราถูกโปรแกรมมาให้ใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีในมือให้หมดต่างหาก

ทันทีที่เรามีรายได้เพิ่ม เราจะมองหา "ภาระ" ใหม่ๆ มาใส่บ่าทันทีโดยอัตโนมัติ เราจะเริ่มมองหาคอนโดที่แพงขึ้น รถที่ผ่อนหนักขึ้น หรือแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตที่แรงขึ้นโดยไม่จำเป็น มันเหมือนกับการวิ่งไล่จับเงาตัวเองครับ ยิ่งเราวิ่งเร็ว (หาเงินได้มาก) รายจ่ายมันก็ยิ่งวิ่งเร็วตามเราไปติดๆ เหมือนเงาตามตัว กลายเป็นวงจรนรกที่เรียกว่า "สนามแข่งหนู" (Rat Race) ที่เราต้องตื่นเช้าไปทำงานเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าใช้จ่ายที่เราสร้างขึ้นเอง แล้วก็นอน แล้วก็ตื่นมาทำเหมือนเดิมวนไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เรายังไม่รู้จักวิธี "แช่แข็ง" ไลฟ์สไตล์ของตัวเองเอาไว้ หรือกล้าที่จะใช้ชีวิตให้ต่ำกว่าฐานะที่แท้จริง เราก็จะไม่มีวันชนะเกมนี้ได้เลยครับ ต่อให้เงินเดือนเป็นแสนก็ไม่พอครับ

คนวิ่งไล่ตามเงินในกรงล้อหนูถีบจักรตามทฤษฎีกฎของพาร์กินสัน ที่รายจ่ายขยายตัวเท่ากับรายรับเสมอ

ศิลปะการหลอกตัวเอง เมื่อ "ความอยาก" สวมรอยเป็น "ความจำเป็น"

เดี๋ยวผมจะพาไปชำแหละความจริงที่น่ากลัวกว่านั้นครับ เพราะสิ่งที่ทำให้กฎของพาร์กินสันมันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจนน่าขนลุก ไม่ใช่แค่เพราะเรามีเงินเยอะขึ้นเฉยๆ หรอกครับ แต่มันเป็นเพราะเรามีความสามารถพิเศษในการ "หลอกตัวเอง" ที่เก่งกาจขึ้นตามประสบการณ์ทำงานของเราต่างหาก เพื่อนๆ ลองสังเกตตัวเองดูสิครับว่า ยิ่งเราโตขึ้น ยิ่งเรามีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น เรายิ่งมี "ข้ออ้าง" ที่ฟังดูดีมีเหตุผลให้กับความฟุ่มเฟือยของตัวเองได้แนบเนียนขึ้นเรื่อยๆ จนน่าตกใจ

สารภาพตามตรงนะครับ ผมเคยเป็นคนหนึ่งที่แยกแยะคำว่า "ความจำเป็น" (Need) กับ "ความต้องการ" (Want) ไม่ออก หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ผมจงใจที่จะไม่อยากแยกแยะมันมากกว่า ลองนึกภาพตามนะครับ สมัยเราเงินเดือนหมื่นห้า โทรศัพท์มือถือหน้าจอแตกนิดหน่อย เราก็ยังทนใช้ได้ เอาสก็อตเทปแปะๆ ไว้ก็ยังโทรเข้าโทรออกได้ปกติ แต่พอเงินเดือนเราขยับขึ้นมาเป็นสามหมื่นปุ๊บ จู่ๆ โทรศัพท์เครื่องเดิมที่เคยว่าดี มันก็ดูจะ "ช้า" ขึ้นมาทันตาเห็น หรือกล้องมันก็ดูจะไม่ชัดสมฐานะขึ้นมาเสียอย่างนั้น

แล้วกระบวนการหลอกตัวเองมันก็เริ่มทำงานทันทีครับ เราจะเริ่มบอกตัวเองว่า "เฮ้ย! เราต้องใช้มือถือรุ่นเรือธงตัวท็อปนะ เพราะเราต้องเอามารับส่งอีเมลงาน ต้องเอามาถ่ายรูปสินค้า ต้องเอามาตัดต่อคลิปสั้นๆ เพื่อสร้างคอนเทนต์" เราพยายามหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาสนับสนุนว่า นี่คือ "การลงทุนเพื่อการทำงาน" ไม่ใช่การสิ้นเปลือง ทั้งที่ความจริงแล้ว ลึกๆ ในใจเรารู้ดีที่สุดครับว่า ฟีเจอร์ที่เราใช้จริงๆ มีแค่ไถโซเชียลมีเดีย ตอบแชท และถ่ายรูปอาหารอวดเพื่อนในไอจีสตอรี่แค่นั้นเอง แต่เรากลับยอมจ่ายเงินก้อนโตที่เกือบจะเท่ากับเงินเดือนทั้งเดือน เพียงเพื่อแลกกับความรู้สึกวูบวาบตอนที่ได้ถือของใหม่ และเพื่อซื้อสายตาชื่นชมจากคนรอบข้างเพียงชั่วครู่ชั่วยาม กลายเป็นว่าเรากำลังเอาอนาคตทางการเงินไปผูกไว้กับค่านิยมจอมปลอมที่เราสร้างขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัวครับ

กับดักมื้ออาหาร เมื่อความอร่อยถูกตัดสินด้วย "ราคา" และ "ยอดไลก์"

นอกจากเรื่องข้าวของเครื่องใช้แล้ว อีกเรื่องที่ผมต้อง สารภาพตามตรง เลยว่าผมเคยตกม้าตายอย่างแรง ก็คือเรื่อง "การกิน" นี่แหละครับ ลองสังเกตตัวเองดูนะครับว่า พฤติกรรมการกินของเราเปลี่ยนไปมากแค่ไหนตั้งแต่วันที่เงินเดือนขึ้น สมัยเงินเดือนน้อยๆ ข้าวแกงข้างทาง ก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย หรือร้านตามสั่งธรรมดาๆ เราก็กินได้ไม่มีปัญหา อร่อยด้วยซ้ำ แต่พอเราเริ่มมีเงิน หรือเริ่มมีตำแหน่งหัวโขนสวมอยู่บนหัว กลายเป็นว่า ลิ้นเราเริ่มเรื่องมากขึ่นมาทันทีครับ เราเริ่มรู้สึกว่าร้านพวกนั้นมันสกปรกบ้าง ร้อนบ้าง นั่งไม่สบายบ้าง แล้วเราก็ค่อยๆ พาตัวเองย้ายเข้าไปอยู่ในห้าง สั่งอาหารชุดละ 200-300 บาทมากินแทน

ที่น่าตกใจคือ เราไม่ได้กินเพราะ "หิว" หรือเพราะ "รสชาติ" เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่เรากินเพื่อ "คอนเทนต์" ครับ ยอมรับมาเถอะครับว่า หลายครั้งที่เราเลือกร้านอาหารแพงๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราอยากได้รูปสวยๆ เอาไว้เช็คอิน อยากได้บรรยากาศดีๆ เอาไว้อวดเพื่อนในโซเชียลว่า "ชีวิตดี๊ดี" หรือบางทีก็แค่เพราะเพื่อนร่วมงานชวนไป แล้วเราไม่กล้าปฏิเสธ เพราะกลัวจะดูแปลกแยก หรือกลัวถูกมองว่าขี้งก ทั้งที่ในใจเราอาจจะกำลังคำนวณเงินในกระเป๋าอย่างเคร่งเครียดอยู่ก็ได้

เอาจริงๆ นะครับ ค่าอาหารมื้อละ 500 หรือ 1,000 บาทที่จ่ายไปแลกกับการสังสรรค์เฮฮาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ถ้ามันนานๆ ทีคงไม่เป็นไร แต่ถ้ามันกลายเป็น "ความปกติใหม่" (New Normal) ของชีวิตเราเมื่อไหร่ หายนะมาเยือนแน่นอนครับ เพราะนี่คือรายจ่ายที่กินแล้วหมดไป ไม่เหลือซาก ไม่กลายเป็นทรัพย์สิน แถมยังทิ้ง "ไขมัน" ไว้ที่พุง และทิ้ง "ความว่างเปล่า" ไว้ในกระเป๋าตังค์เราอีกต่างหาก

รูรั่วที่มองไม่เห็น พลังทำลายล้างของ "เงินหลักร้อย"

ทีนี้ เพื่อนๆ อาจจะเถียงผมในใจว่า "โธ่! พี่ครับ ผมก็ไม่ได้กินหรูทุกวันสักหน่อย ก็แค่กาแฟแก้วละร้อยกว่าบาท หรือค่าสมาชิกดูหนังฟังเพลงไม่กี่ร้อยเอง" ... นี่แหละครับคือจุดที่อันตรายที่สุดที่ผมเรียกว่า "กับดักเงินหลักร้อย" คนส่วนใหญ่มักจะระวังแค่รายจ่ายก้อนใหญ่ๆ อย่างค่าผ่อนรถ ค่าเช่าห้อง แต่กลับละเลยรายจ่ายเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ เพราะคำว่า "แค่นี้เอง" หรือ "ไม่กี่บาทหรอก" แต่เพื่อนๆ ลองกดเครื่องคิดเลขดูเล่นๆ สิครับ กาแฟแก้วละ 120 บาท กินทุกวันทำงาน 1 เดือนก็ปาเข้าไปเกือบ 3,000 บาทแล้วนะครับ! ยังไม่รวมค่าสมาชิกแอปดูซีรีส์ แอปฟังเพลง ค่าส่งอาหารเดลิเวอรี่ ที่เรากดสั่งแบบไม่คิดเพราะขี้เกียจเดิน

สุดท้ายแล้ว เมื่อเอาเงินก้อนเล็กๆ พวกนี้มารวมกันทั้งปี เผลอๆ ยอดรวมมันอาจจะถอยมอเตอร์ไซค์ได้คันนึง หรือซื้อทองได้เป็นบาทเลยทีเดียวนะครับ แต่เรากลับเทมันทิ้งไปกับความสุขชั่วครู่ชั่วยามที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เหมือนกับปลวกตัวเล็กๆ ที่เรามองข้าม แต่มันกำลังกัดกินเสาเข็มทางการเงินของเราจนบ้านทั้งหลังพร้อมจะพังครืนลงมาได้ทุกเมื่อครับ
แก้วกาแฟราคาแพงที่มีเงินรั่วไหลออกมา สื่อถึงรายจ่ายแฝงหลักร้อยที่เป็นรูรั่วทางการเงิน

 หยุดวงจรนรก วิธี "ล็อก" ไลฟ์สไตล์ไม่ให้บานปลาย

อ่านมาถึงตรงนี้ เพื่อนๆ หลายคนอาจจะเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ หรือเริ่มเห็นเงาตัวเองซ้อนทับกับสิ่งที่ผมเล่ามาบ้างแล้วใช่ไหมครับ? สารภาพตามตรง เลยว่า ตอนที่ผมรู้ตัวว่าติดอยู่ในกับดักนี้ ผมเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เพราะตลอดชีวิตเราถูกสอนมาแค่ให้ "หาเงิน" แต่ไม่เคยมีใครสอนวิธี "ขังเงิน" ให้อยู่กับเรา
ทางออกเดียวที่จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากวงจรหนูถีบจักรของกฎพาร์กินสันได้ ไม่ใช่การโหมงานหนักเพื่อหาเงินให้ได้เดือนละแสนหรอกครับ เพราะตราบใดที่ "รูรั่ว" ในถังน้ำของเรายังขยายใหญ่ตามปริมาณน้ำที่เติมลงไป เติมเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็มครับ วิธีเดียวที่จะชนะเกมนี้ได้คือเราต้องกล้าที่จะฝืนธรรมชาติของตัวเอง ด้วยการทำสิ่งที่เรียกว่า "การล็อกไลฟ์สไตล์" (Locking Your Lifestyle) ครับ

พูดง่ายๆ ก็คือ... วันไหนที่เจ้านายเรียกไปปรับเงินเดือนขึ้น หรือวันไหนที่เราขายของได้กำไรมากขึ้น ขอให้ท่องจำคาถานี้ไว้ให้ขึ้นใจเลยครับว่า "รายได้เปลี่ยน แต่ชีวิตห้ามเปลี่ยน" เราต้องใจแข็งพอที่จะกดความเป็นอยู่ของเราไว้ที่เดิม แม้ว่าเราจะมีปัญญาจ่ายแพงกว่านั้นแล้วก็ตาม

เทคนิค "แกล้งจน" ให้สมจริง ซ่อนเงินส่วนเกินจากสายตาตัวเอง

เทคนิคที่ผมใช้แล้วได้ผลชะงัดที่สุด คือการเล่นละครตบตาตัวเองครับ ทันทีที่เงินเดือนส่วนต่างโอนเข้ามา อย่าเพิ่งรีบเอาไปคำนวณผ่อนรถคันใหม่ อย่าเพิ่งรีบกดใส่ตะกร้าในแอปช้อปปิ้ง แต่ให้รีบ "ตัดตอน" เงินก้อนนั้นออกจากบัญชีใช้จ่ายหลักทันทีครับ สมมติเงินเดือนขึ้นจาก 20,000 เป็น 25,000 บาท ให้เราทำเหมือนว่าเรายังได้เงินเดือน 20,000 เท่าเดิม ใช้ชีวิตด้วยมาตรฐานเดิม กินข้าวร้านเดิม นั่งรถเมล์สายเดิม แล้วรีบโอน 5,000 บาทที่เป็นส่วนต่างนั้น เข้าไปเก็บใน "บัญชีลับ" ที่ไม่มีบัตร ATM ไม่มีแอปธนาคารในมือถือ หรือเอาไปซื้อทอง ซื้อสลากออมสิน อะไรก็ได้ที่ถอนออกมาใช้ยากที่สุด

ช่วงแรกๆ เราอาจจะรู้สึกอึดอัดบ้างที่ต้องฝืนใจไม่ใช้เงิน ทั้งที่มีเงินอยู่ตรงหน้า แต่พอทำไปสักพัก สมองเราจะเริ่มปรับตัวและเคยชินกับงบประมาณที่เรากำหนดไว้เองครับ และรับรองเลยครับว่า พอสิ้นปีมาเปิดดูบัญชีลับนั้นอีกที คุณจะตกใจกับตัวเลขเงินเก็บที่งอกเงยขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว และความรู้สึกภาคภูมิใจในตอนนั้นแหละครับ คือรางวัลที่หอมหวานกว่ากาแฟแก้วละร้อย หรือกระเป๋าแบรนด์เนมใบไหนๆ บนโลกใบนี้เสียอีก

บทสรุปส่งท้าย เลิกวิ่งไล่ตามเงา แล้วหันมาสร้าง "ป้อมปราการ" ของตัวเอง

สุดท้ายแล้ว ผมอยากจะฝากข้อคิดเตือนใจเพื่อนๆ ชาว Start Again ทุกคนไว้สักนิดครับว่า การได้เงินเดือนขึ้น หรือการหาเงินได้เยอะๆ มันเป็นเรื่องดีครับ และเป็นเรื่องที่เราควรยินดี แต่ขอให้จำไว้เสมอว่า "รายได้" มันเป็นแค่ตัวเลขในบรรทัดแรกของสมุดบัญชี แต่ "ความมั่งคั่ง" ที่แท้จริง มันวัดกันที่บรรทัดสุดท้ายครับว่าเราเหลือเก็บเท่าไหร่

อย่าปล่อยให้สังคม ค่านิยม หรือเสียงกระซิบแห่งความโลภ มาบงการชีวิตเราให้ต้องวิ่งไล่ตามเงาตัวเองไปตลอดชีวิตเลยครับ การที่เรายอมลดมาตรฐานการกินลงนิดหน่อย ยอมใช้มือถือรุ่นเก่าต่ออีกสักปี หรือยอมนั่งรถเมล์บ้างในบางวัน มันไม่ได้ทำให้คุณค่าความเป็นคนของเราลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว ในทางตรงกันข้าม การที่เราสามารถควบคุมกิเลสและมีวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่งต่างหาก คือความเท่ที่แท้จริงที่เงินซื้อไม่ได้
ถ้าเราไม่เริ่ม "ล็อกไลฟ์สไตล์" ของตัวเองตั้งแต่วันนี้ ต่อให้ในอนาคตเราถูกหวยรางวัลที่ 1 มีเงินร้อยล้านพันล้าน เชื่อเถอะครับว่าไม่กี่ปีเงินเหล่านั้นก็จะมลายหายไปจนหมดเกลี้ยง เพราะเราไม่มี "เขื่อน" ที่แข็งแรงพอจะกักเก็บน้ำเหล่านั้นไว้ได้

การปิดตู้เซฟเพื่อเก็บเงินส่วนต่าง เทคนิคการล็อกไลฟ์สไตล์ (Lock Lifestyle) เพื่อสร้างความมั่งคั่ง

ภารกิจวัดใจ กล้าที่จะ "สวนกระแส" ไปด้วยกัน

ผมรู้ครับว่าการทำแบบนี้มันยาก โดยเฉพาะในวันที่คนรอบข้างเขากินหรูอยู่แพงกันหมด การที่เราต้องกลายเป็น "แกะดำ" ที่ห่อข้าวไปกินเอง หรือปฏิเสธคำชวนสังสรรค์ มันต้องใช้ความกล้าหาญทางใจอย่างมหาศาล แต่ผมอยากให้เพื่อนๆ มั่นใจเถอะครับว่า คุณไม่ได้เดินอยู่อย่างเดียวดาย บนเส้นทางสายนี้แน่นอน

ถ้าใครอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วรู้สึกว่า "พอกันทีกับชีวิตเดือนชนเดือน" และพร้อมที่จะลุกขึ้นมาปฏิวัติกระเป๋าตังค์ตัวเอง ผมขอท้าให้เพื่อนๆ พิมพ์คอมเมนต์คำว่า "ล็อกไลฟ์สไตล์" หรือ "Lock Lifestyle" ไว้ข้างล่างบทความนี้หน่อยครับ เพื่อเป็นการประกาศเจตนารมณ์ให้โลกรู้ว่า เราจะไม่ยอมตกเป็นทาสของกฎพาร์กินสันอีกต่อไป และเพื่อเป็นสัญญาณบอกเพื่อนร่วมอุดมการณ์คนอื่นๆ ว่า "เฮ้ย! พวกเราอยู่นี่ เรากำลังสู้ไปพร้อมกับนายนะ"

ในบทความหน้า Start Again EP.3 ผมจะพาเพื่อนๆ ไปดูกันต่อว่า เมื่อเรา "ล็อก" เงินส่วนเกินไว้ได้แล้ว เราจะเอามันไปทำอะไรต่อ? เราจะเริ่มสร้าง "ถังเงินสำรอง" ถังแรกให้เต็มได้อย่างไร เพื่อให้เรามีเกราะป้องกันภัยที่แข็งแกร่งที่สุด เตรียมสมุดปากกาให้พร้อม แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้าครับ
"คนรวยที่แท้จริง ไม่ใช่คนที่หาเงินได้มากที่สุด แต่คือคนที่ 'รักษา' เงินไว้ได้นานที่สุดต่างหาก"

ด้วยความปรารถนาดี
LuMoo Money Story
เพื่อนร่วมทางสู่การล้างไพ่ชีวิตการเงิน


เก็บไว้ในรายการโปรด