ยินดีต้อนรับสู่ "เซฟโซน" ที่แท้จริง
ความลับที่ไม่มีใครบอก ความรวยไม่ได้วัดที่รายได้ แต่วัดที่ "ความสงบทางใจ"
สารภาพตามตรง เลยครับว่า สมัยก่อนผมเป็นคนหนึ่งที่โคตรจะประมาทกับการใช้ชีวิต ผมมักจะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอด้วยชุดความคิดที่ว่า "เฮ้ย! เรายังหนุ่มยังแน่น แรงก็มี งานการก็ทำอยู่ บริษัทก็ดูมั่นคงดี เงินเดือนก็ออกตรงเวลาทุกสิ้นเดือน จะไปกลัวอะไรกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง" ผมใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยงระดับวิกฤตโดยที่ไม่รู้ตัวเลยครับ ชีวิตผมนี่เรียกได้ว่าเป็นนิยามของคำว่า เดือนชนเดือน (Paycheck to Paycheck) ของจริง คือเงินเดือนออกปุ๊บ จ่ายค่าห้อง จ่ายค่าน้ำไฟ กินเที่ยว แป๊บเดียวก็หมดเกลี้ยงบัญชี แล้วก็นั่งนับถอยหลังรอสิ้นเดือนใหม่ วนลูปนรกแบบนี้ไปเรื่อยๆ
แล้วถามว่าเวลาฉุกเฉินผมทำยังไง? ในเมื่อ บัตรเครดิตผมก็ไม่มี เงินเก็บสำรองก็เป็นศูนย์... ผมก็ต้องงัดเอา "ท่าไม้ตายก้นหีบ" ที่น่าอึดอัดใจที่สุดออกมาใช้ครับ นั่นคือการ "บากหน้าไปหยิบยืม" ครับ
ต้องคอยโทรหาเพื่อนบ้าง ยอมก้มหัวรบกวนพ่อแม่บ้าง หรือถ้าเข้าตาจนจริงๆ ก็ต้องวิ่งเอาของมีค่าชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่มีติดตัวไป โรงรับจำนำ เพื่อแลกเศษเงินสดมาหมุนให้ผ่านวิกฤตไปวันๆ มันเป็นความรู้สึกที่เสียศักดิ์ศรีและไร้อิสรภาพสิ้นดีครับ เพราะเราต้องคอยเกรงใจเจ้าหนี้ (ที่เป็นคนกันเอง) ไม่กล้าสู้หน้า และกลัวว่าวันหนึ่งถ้าเรายืมบ่อยๆ เขาจะเลิกคบเรา
และ สิ่งที่น่าแปลกคือ ยิ่งผมใช้ชีวิตแบบนี้ ยิ่งผมพยายามหาของแบรนด์เนมมาประดับตัวเพื่อกลบเกลื่อนความจนเท่าไหร่ ผมกลับยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลัง เดินไต่ลวดอยู่บนยอดตึกสูงเสียดฟ้า ที่ไม่มีตาข่ายรองรับด้านล่างเลยแม้แต่นิดเดียว ลึกๆ ในใจมันมีความหวาดระแวง (Paranoia) เกาะกินความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา เสียงโทรศัพท์ดังทีไรก็สะดุ้งโหยง กลัวว่าจะเป็นเจ้าหนี้ (เพื่อน/ญาติ) โทรมาทวง หรือกลัวว่าจะเป็นข่าวร้ายจากทางบ้านที่เราไม่มีปัญญาจะช่วยเรื่องเงินเขาได้
แม้กระทั่งเรื่องงาน ก็กลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าเสี่ยงเสนอไอเดียใหม่ๆ ไม่กล้าเถียงเจ้านายในสิ่งที่คิดว่าไม่ถูกต้อง หรือต่อให้งานมัน Toxic แค่ไหนก็ไม่กล้าลาออกไปทำตามฝัน เพราะลึกๆ เรารู้ดีว่าถ้าพลาดมาเมื่อไหร่ คือ "ตายสถานเดียว" ชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยความกลัวแบบนี้ ต่อให้คุณใส่สูทผูกไท หรือขับรถหรูแค่ไหน เชื่อผมเถอะครับว่ามันหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้หรอกครับ เพราะคุณไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง แต่คุณเป็นทาสของความไม่มั่นคงต่างหาก
กฎแห่งความซวย เมื่อเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เพื่อนๆ เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ไหมครับ? ในวันที่เราใช้ชีวิตล่องลอยไปวันๆ มันก็ดูเหมือนจะปกติดี แต่พอวันไหนที่เราตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเริ่ม "กลับตัวกลับใจ" จะเริ่มเก็บเงินปุ๊บ... อยู่ดีๆ รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่ไม่เคยงอแงก็ดันสตาร์ทไม่ติด เครื่องพังต้องซ่อมลูกใหญ่ หรือจู่ๆ คนที่บ้านก็ป่วยกะทันหันต้องใช้เงินก้อนโต หรือแย่กว่านั้นคืออยู่ดีๆ โรงงานลดโอที หรือบริษัทประกาศเลิกจ้าง ปรากฏการณ์เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ดูเหมือนฟ้ากลั่นแกล้งเจาะจงเล่นงานเราคนเดียวแบบนี้ ในทางสากลเขามีกฎข้อหนึ่งที่อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนครับ นั่นคือ "กฎของเมอร์ฟี่" (Murphy’s Law) [อ้างอิง Britannica]
กฎข้อนี้กล่าวไว้อย่างเจ็บแสบและตรงไปตรงมาที่สุดว่า "Anything that can go wrong will go wrong" หรือแปลเป็นไทยบ้านๆ ให้เห็นภาพคือ "อะไรที่มันมีโอกาสจะพัง มันจะพัง (และมันมักจะเลือกพังในเวลาที่เราไม่มีเงินซ่อมที่สุดเสมอ)"นี่คือความจริงอันโหดร้ายของโลกที่เราต้องยอมรับครับ อุบัติเหตุและความโชคร้ายไม่ได้เลือกเวลาเกิด แต่มันเหมือนมีเรดาร์ตรวจจับความอ่อนแอ มันชอบเล็งเป้าไปที่คนที่ "เปราะบางที่สุด"
ถ้าเราใช้ชีวิตโดยไม่มีเงินสำรองเลย ก็เท่ากับเรากำลังเปิดประตูบ้านเชิญชวนให้กฎของเมอร์ฟี่เดินเข้ามาถล่มชีวิตเราเล่นเมื่อไหร่ก็ได้ และเมื่อวันนั้นมาถึง... ในเมื่อเราไม่มีบัตรเครดิตให้รูด สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจะมืดแปดด้านครับ เราจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั่งกอดเข่าร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง หรือไม่ก็ต้องจำใจวิ่งไปกู้หนี้นอกระบบดอกเบี้ยโหด เพื่อมาต่อลมหายใจไปวันๆ ซึ่งนั่นก็เท่ากับเรากำลังขุดหลุมฝังตัวเองให้ลึกลงไปอีก ทั้งที่ปัญหามันอาจจะแก้ได้ง่ายๆ แค่ใช้เงินไม่กี่พันบาท ถ้าเรามีสำรองไว้
ถุงลมนิรภัยทางการเงิน มีไว้ไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี
ผมอยากให้เพื่อนๆ ลองจินตนาการถึงการขับรถดูนะครับ ต่อให้เรามั่นใจว่าเราขับรถเก่งระดับนักแข่ง F1 หรือระมัดระวังตัวแค่ไหน แต่ถามใจตัวเองดูเถอะครับว่า เราจะกล้าขับรถที่ไม่มี "ถุงลมนิรภัย" (Airbag) ออกไปซิ่งบนถนนใหญ่ไหมครับ? คำตอบคือคงไม่กล้าใช่ไหมครับ เพราะต่อให้เราขับดีแค่ไหน เราก็ควบคุมคนอื่นบนถนนไม่ได้ วันดีคืนดีอาจจะมีใครสักคนพุ่งมาชนเราก็ได้ และวินาทีนั้นแหละครับที่ "ถุงลมนิรภัย" จะทำหน้าที่ตัดสินชะตาชีวิตว่าเราจะ "รอด" หรือ "เละ"
การเงินก็เหมือนกันเป๊ะเลยครับ เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน (Emergency Fund) มันคือถุงลมนิรภัยของชีวิตครับ หน้าที่ของมันไม่ได้มีไว้เพื่อให้เรารวยขึ้น ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เงินงอกเงยเป็นกอบเป็นกำ แต่มันมีไว้เพื่อ "กันตาย" ครับ มันมีไว้รองรับแรงกระแทกในวันที่ชีวิตเกิดอุบัติเหตุชนหนัก อย่างน้อยๆ แทนที่เราจะหน้ากระแทกพวงมาลัยเลือดอาบ หรือกระเด็นออกนอกรถจนเสียชีวิต (ซึ่งในทางการเงินคือการล้มละลาย บ้านแตกสาแหรกขาด หรือต้องขายทรัพย์สินกิน) เราก็แค่เจ็บตัวเล็กน้อย มึนๆ งงๆ ปัดฝุ่น แล้วลุกขึ้นมาเดินต่อได้โดยที่ชีวิตไม่พังทลายลงไป
เอาจริงๆ นะครับ การมีเงินนอนนิ่งๆ ในบัญชีสักก้อนที่เรารู้ว่าจะไม่แตะต้องมันถ้าไม่คอขาดบาดตาย มันคือ Power หรือ "อำนาจ" ที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่งครับ มันคืออำนาจที่ทำให้เรากล้าพูดคำว่า "ไม่" กับสิ่งที่เราไม่อยากทำ กล้าปฏิเสธงานที่เอาเปรียบเราเกินไป หรือกล้าที่จะพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์หรือความสัมพันธ์แย่ๆ เพราะลึกๆ ในใจเรามีเสียงกระซิบที่บอกตัวเองอย่างมั่นใจว่า "ต่อให้โลกถล่มวันนี้ เจ้านายไล่ออกพรุ่งนี้ ฉันก็ยังรอดตายไปได้อีก 6 เดือนสบายๆ" ความรู้สึกมั่นคงทางใจแบบนี้แหละครับ คือนิยามของความรวยที่แท้จริงที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป เพราะมัวแต่ไปไล่ล่าตัวเลขผลตอบแทน จนลืมสร้างฐานที่มั่นให้ตัวเองครับ
กับดักแมงเม่า อยากรวยเร็ว จนลืมคิดเรื่องความปลอดภัย
เรื่องน่าขำที่ขำไม่ออก อีกเรื่องที่ผมเจอบ่อยมากจนแทบจะกลายเป็นแพทเทิร์นเดิมๆ ใน Inbox หรือตามเว็บบอร์ดการเงินต่างๆ คือกระทู้คำถามประเภท "มีเงินเก็บก้อนสุดท้ายอยู่ 5,000 บาท เอาไปลงทุนอะไรดีให้งอกเงยเร็วๆ?" หรือ "ตอนนี้หุ้นตัวไหนเด็ด คริปโตฯ เหรียญไหนกำลังจะไปดวงจันทร์ อยากรวยทางลัดช่วยชี้เป้าหน่อย"
เอาจริงๆ นะครับ ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีแบบสุดหัวใจเลยครับ เพราะผมก็เคยเป็นคนที่หน้ามืดตามัว อยากรวยเร็ว อยากเป็นอิสระ อยากถีบตัวเองออกจากความจนให้ได้ภายในชั่วข้ามคืนมาก่อน แต่ผมขอบอกตรงนี้ด้วยความหวังดีแบบพี่เตือนน้องเลยครับว่า การกระโดดเข้าสู่สนามการลงทุนที่เต็มไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด โดยที่ไม่มี "ถังเงินสำรอง" ติดตัวเลยแม้แต่บาทเดียว มันไม่ใช่ความกล้าหาญหรือวิสัยทัศน์ไกลหรอกครับ แต่มันคือ "การฆ่าตัวตายทางการเงิน" ชัดๆ
ลองจินตนาการภาพตามผมนะครับ สมมติคุณกัดฟันเอาเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต 50,000 บาท ไปทุ่มซื้อหุ้นหรือเหรียญคริปโตฯ กะว่าอีกเดือนสองเดือนมันจะพุ่งเป็นแสน แต่ กลายเป็นว่า ตลาดมันดันเทกระจาด (ซึ่งมันเกิดขึ้นเป็นปกติของโลกการลงทุนอยู่แล้ว) พอร์ตคุณแดงเถือก ติดลบไป 30-40% เงินต้นหายวับไปต่อหน้าต่อตา
แล้วเคราะห์ซ้ำกรรมซัด กฎของเมอร์ฟี่ก็ทำงานทันที... จังหวะที่หุ้นตกนั่นแหละครับ คือจังหวะที่คุณดันมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วน! พ่อป่วย รถพัง หรือตกงาน สิ่งที่คุณต้องทำคืออะไรครับ? คุณไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำใจต้องกด "ขายขาดทุน" (Panic Sell) เพื่อเอาเงินสดออกมาหมุน ทั้งน้ำตา แทนที่เงินจะงอกเงย มันกลับหดหายไปเพราะเรา "รอไม่ได้" นี่แหละครับคือโศกนาฏกรรมของนักลงทุนหน้าใหม่ที่ข้ามขั้นตอน พยายามจะบินเข้ากองไฟเหมือนแมงเม่า สุดท้ายก็ไหม้เกรียมไม่เหลือซาก
พีระมิดการเงิน แผนที่นำทางที่เศรษฐีทุกคนใช้
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าทำไมเราถึงห้ามข้ามขั้นตอนเด็ดขาด ผมอยากแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักกับโมเดลระดับโลกตัวหนึ่งครับ ซึ่งเป็นเหมือน "แผนที่ลายแทง" ที่เศรษฐีหรือนักวางแผนการเงินทั่วโลกใช้กัน ในวงการการเงินสากล เขาเรียกสิ่งนี้ว่า "ลำดับขั้นความต้องการทางการเงิน" (Financial Hierarchy of Needs) [อ้างอิง Investopedia]
แนวคิดนี้ดัดแปลงมาจากทฤษฎีจิตวิทยาชื่อดังอย่าง Maslow's Hierarchy of Needs ครับ จำกันได้ไหมครับสมัยเรียน ที่บอกว่ามนุษย์เราต้องมี "ปัจจัย 4" (อาหาร, ที่อยู่อาศัย) ให้รอดก่อน ถึงจะเริ่มมองหา "ความรัก" หรือ "ความสำเร็จ" ในชีวิตได้ ถ้าท้องยังหิว จะให้ไปนั่งเสพงานศิลปะหรือคิดเรื่องปรัชญาก็คงทำไม่ได้ใช่ไหมครับ เรื่องเงินก็เหมือนกันเป๊ะเลยครับ โครงสร้างของพีระมิดการเงินที่ถูกต้องจะแบ่งเป็นชั้นๆ และต้องสร้างจากล่างขึ้นบนเสมอ ดังนี้ครับ
- ฐานล่างสุด (Fundamental): คือ กระแสเงินสดและสภาพคล่อง (Cash Flow & Basic Needs) คือต้องมีกินมีใช้ จ่ายค่าไฟ จ่ายค่าเช่าได้ไม่ติดลบ
- ชั้นที่สอง (Safety): คือ ความปลอดภัย (Insurance & Emergency Fund) นี่คือชั้นที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ครับ คือเกราะป้องกันความเสี่ยง และถังเงินสำรอง
- ชั้นบนสุด (Growth): คือ การลงทุนและการสะสมความมั่งคั่ง (Investment & Wealth Accumulation)
ปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลว หรือรวยได้แป๊บเดียวแล้วกลับมาจนใหม่ คือพยายามจะ "สร้างบ้านจากหลังคา" ครับ พยายามจะกระโดดข้ามไปชั้น "ลงทุน" (Growth) เพื่อหวังรวยเร็วๆ ทั้งๆ ที่ฐานล่าง (Safety) ยังกลวงโบ๋ ไม่มีอะไรค้ำยัน พอเกิดพายุลูกเล็กๆ พัดมาทีเดียว หรือแค่เศรษฐกิจสะดุดนิดหน่อย บ้านทั้งหลังที่สร้างมาอย่างสวยหรูบนรากฐานทรายที่เปราะบาง ก็พร้อมจะ พังครืน ลงมาไม่เหลือซาก กลายเป็นโศกนาฏกรรมทางการเงินที่เราเห็นกันเกลื่อนเมืองครับ
Cash is King ใน นยามวิกฤต เงินสดคือพระเจ้า
ดังนั้น ก่อนที่จะไปนั่งดูกราฟหุ้นแท่งเทียนสีเขียวสีแดง หรือไปฟาร์มเหรียญคริปโตฯ เพื่อหวังผลตอบแทนร้อยเด้งพันเด้ง ผมขอร้องให้เพื่อนๆ ดึงสติกลับมาที่ฐานล่างสุดของพีระมิดก่อนครับ ท่องจำให้ขึ้นใจเป็นคัมภีร์ประจำตัวเลยครับว่า "สภาพคล่องต้องมาก่อนผลตอบแทนเสมอ"
เพื่อนๆ ลองนึกภาพดูนะครับ ในวันที่เศรษฐกิจดี หุ้นในพอร์ตอาจจะโชว์ตัวเลขกำไร 10% 20% หรือกองทุนรวมอาจจะให้ปันผลสวยหรู แต่เชื่อเถอะครับว่า ในวันที่เกิดวิกฤตจริงๆ เช่น คุณตกงานกะทันหัน หรือลูกเข้าโรงพยาบาลต้องใช้เงินด่วน ตัวเลขกำไรในพอร์ตหุ้นเหล่านั้นมันช่วยอะไรคุณไม่ได้ทันท่วงทีหรอกครับ เพราะถ้าคุณขายหุ้นตอนตลาดปิด คุณก็ต้องรอเงินเข้าบัญชีอีก 2-3 วันทำการ (T+2) หรือถ้าขายตอนตลาดหุ้นตกหนัก คุณก็ขาดทุนยับเยิน
สิ่งเดียวที่จะเป็นพระเจ้าช่วยชีวิตคุณได้ในวินาทีความเป็นความตายแบบนั้น คือ "เงินสด" (Cash) ที่นอนนิ่งๆ อยู่ในบัญชีออมทรัพย์นี่แหละครับ มันคือสินทรัพย์ชนิดเดียวที่พร้อมจะแปลงร่างเป็นข้าวปลาอาหาร เป็นค่ารักษาพยาบาล หรือเป็นค่าเช่าห้องได้ในทันทีที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องสนใจว่าดัชนีตลาดหุ้นโลกจะติดลบไปกี่จุด
อย่าไปดูถูกดอกเบี้ยเงินฝาก 0.25% หรือ 1.5% ว่ามันน้อยนิดเศษเงินเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อครับ เพราะหน้าที่ของเงินสำรองก้อนนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อ "รวย" (Growth) ครับ แต่มันมีไว้เพื่อ "รอด" (Safety) เปรียบเสมือนคุณจ้าง รปภ. มาเฝ้าหน้าบ้านครับ คุณต้องจ่ายเงินเดือนให้เขา (ซึ่งก็คือค่าเสียโอกาสที่จะเอาเงินไปลงทุน) เพื่อให้เขายอมตากแดดตากฝน ยืนเฝ้าความปลอดภัยให้คุณ เพื่อให้คุณสามารถนอนหลับได้สนิทใจข้างในบ้าน โดยไม่ต้องสะดุ้งตื่นมากลางดึกเพราะระแวงว่าใครจะบุกเข้ามาปล้นความสุขของคุณไป นี่คือราคาของความปลอดภัยที่คุ้มค่าที่สุดในโลกครับ
ตัวเลขมหัศจรรย์ เราต้องมีเงินสำรองเท่าไหร่ถึงจะรอด?
คำถามยอดฮิตระดับล้านแตกที่ผมโดนถามตลอดเวลา ไม่ว่าจะใน Inbox หรือในวงสนทนาประสาเพื่อนฝูง ก็มักจะถามผมเสมอคือ "พี่ครับ/พี่คะ แล้วสรุปผมต้องเก็บเงินสำรองเท่าไหร่ถึงจะพอ? หมื่นนึงพอไหม? หรือต้องแสนนึง?" เอาจริงๆ นะครับ ตัวเลขนี้มันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวแบบ One Size Fits All สำหรับทุกคนหรอกครับ เพราะไลฟ์สไตล์ ภาระหนี้สิน และความเสี่ยงในอาชีพของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แต่ถ้าจะเอาหลักการที่เป็นมาตรฐานสากลที่นักวางแผนการเงินทั่วโลกยอมรับและใช้กันเป็นบรรทัดฐาน เขาใช้กฎที่เรียกว่า "The 3-to-6 Month Rule" [อ้างอิง Investopedia] ครับ นั่นคือเราควรมีเงินสดสำรองให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจำเป็นอย่างน้อย 3 ถึง 6 เดือน
- วิธีการคำนวณง่ายมากครับ แต่ต้องซื่อสัตย์กับตัวเองนะครับ ให้ลองกางสมุดบัญชีออกมาจดเลยว่าในหนึ่งเดือนเรามี "รายจ่ายเพื่อการอยู่รอด" (Survival Expenses) เท่าไหร่ ย้ำนะครับว่าเอาแค่ "เพื่ออยู่รอด" ไม่รวมค่าช้อปปิ้ง ไม่รวมค่าเที่ยว เอาแค่ ค่าเช่าห้อง/ค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินอยู่ (แบบประหยัด) ค่าเดินทาง และค่าผ่อนหนี้สินที่จำเป็น สมมติว่ารวมๆ แล้วตัวเลขอยู่ที่เดือนละ 15,000 บาท
- ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน (Full-time Employee): ที่ทำงานในบริษัทมั่นคง มีสวัสดิการดี โอกาสตกงานยาก คุณควรมีสำรองขั้นต่ำ 3 เดือน = 15,000 x 3 = 45,000 บาท
- ถ้าคุณเป็นฟรีแลนซ์ (Freelancer) หรือเจ้าของกิจการ: หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง รายได้ไม่แน่นอน คุณควรมีสำรองขั้นต่ำ 6 เดือน = 15,000 x 6 = 90,000 บาท (หรือบางตำราที่โหดๆ หน่อยแนะนำให้มีถึง 12 เดือนเลยด้วยซ้ำครับ เพื่อความชัวร์ที่สุด)
เห็นตัวเลขแล้วอย่าเพิ่งถอดใจปิดบทความหนีนะครับ สารภาพตามตรง ตอนผมเห็นตัวเลขเป้าหมายของตัวเองครั้งแรก ผมก็หน้ามืดตาลายเหมือนจะเป็นลมเหมือนกันครับ "โห! จะไปหาเงินเกือบแสนมาจากไหน ลำพังแค่เดือนชนเดือนก็รากเลือดแล้ว" แต่เชื่อเถอะครับว่า ช้างตัวใหญ่แค่ไหน ถ้าเราค่อยๆ กินทีละคำ เดี๋ยวก็หมด การเก็บเงินแสนก็เหมือนกันครับ มันไม่ได้เสกมาได้ในวันเดียว แต่มันเริ่มจากบาทแรกเสมอ และถ้าเราไม่เริ่มวันนี้ อีก 10 ปีเราก็ยังไม่มีอยู่ดีครับ
เปิดโหมด "Scavenger" เปลี่ยนขยะให้เป็นทอง
สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังนั่งกุมขมับแล้วบอกผมว่า "พี่ครับ แค่จะกินข้าวให้ครบสามมื้อยังลำบาก จะให้เอาเงินที่ไหนมาเก็บตั้งหลายหมื่น?" ผมขอแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักกับโหมดการใช้ชีวิตแบบหนึ่งที่ผมตั้งชื่อให้มันว่า "Scavenger Mode" หรือถ้าแปลเป็นไทยแบบดิบๆ เลยก็คือ "โหมดคนเก็บของเก่า" ครับ
โหมดนี้ไม่ใช่ให้ไปเดินเก็บขวดขายจริงๆ นะครับ (แต่ถ้าทำได้ก็ดีครับ เงินทั้งนั้น) แต่มันคือ Mindset ของการมองหา "เงินที่ซ่อนอยู่" ในชีวิตประจำวันของเราครับ กฎเหล็กของโหมดนี้มีอยู่ข้อเดียวครับ คือ "ห้ามดูถูกเงินน้อย และต้องเปลี่ยนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Dead Assets) ให้กลายเป็นเงินสดทันที"
ลองวางมือถือลง แล้วกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องดูสิครับ... เห็นเสื้อผ้ากองพะเนินในตู้ที่ไม่ได้ใส่มาเป็นปีไหมครับ? เห็นกระเป๋าแบรนด์เนมที่ซื้อมาแล้ววางฝุ่นจับอยู่บนชั้นไหม? หรือจะเป็นกองหนังสือการ์ตูน กองของเล่น หรือแม้แต่รองเท้าผ้าใบคู่เก่งที่ซื้อมาแพงๆ แต่ใส่เดินห้างแค่นับครั้งได้ กลายเป็นว่า ของพวกนี้แหละครับคือ "เหมืองทองคำ" ขนาดย่อมๆ ที่เรามองข้ามไป
ในยุคนี้การเปลี่ยนของพวกนี้เป็นเงินสดมันง่ายจนน่าตกใจครับ โพสต์ลง Facebook Marketplace, กลุ่มซื้อขายเฉพาะทาง หรือแอปขายของมือสอง แป๊บเดียวก็ได้เงินสดโอนเข้ามาแล้ว ผมเคยตัดใจขายรองเท้าคู่โปรดที่ซื้อมาครึ่งหมื่น ขายขาดทุนไปครึ่งต่อครึ่ง ตอนกดโพสต์ขายก็เจ็บใจครับ เสียดายของ แต่เชื่อไหมครับว่า วินาทีที่มีเสียงเตือนเงินเข้าบัญชี 2,500 บาท ความรู้สึกเสียดายมันหายวับไปทันที แต่มันแทนที่ด้วยความรู้สึก "โล่งใจ" อย่างประหลาด มันเหมือนเราได้ต่อลมหายใจ ได้เห็นตัวเลขในบัญชีสำรองขยับจาก 0 เป็น 2,500 บาท นี่แหละครับคือกำลังใจก้อนแรกที่สำคัญที่สุด มันคือเงินสดจริงๆ ที่ซื้อข้าวกินได้ ไม่ใช่ของสะสมที่กินไม่ได้แต่เท่ไปวันๆ
การถือศีลอดทางการเงิน (Financial Fasting)
นอกจากวิธีหาเงินเพิ่มจากการขายของเก่าแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลเร็วที่สุดและทำได้ทันทีโดยไม่ต้องรอใครมาจ้าง คือการทำสิ่งที่ผมเรียกว่า "Financial Fasting" หรือ "การถือศีลอดทางการเงิน" ครับ เพื่อนๆ คงเคยได้ยินเรื่องการทำ IF (Intermittent Fasting) เพื่อลดน้ำหนักใช่ไหมครับ? หลักการเดียวกันเป๊ะเลยครับ คือการจำกัดการ "กิน" (การใช้จ่าย) ในช่วงเวลาหนึ่งอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ร่างกาย (สถานะการเงิน) ดึงเอาไขมันส่วนเกินออกมาใช้ แต่ในทางการเงิน มันคือการ "รีดไขมันรายจ่าย" ออกให้หมดจนเหลือแต่กล้ามเนื้อที่จำเป็นจริงๆแนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักการบริหารเงินที่เรียกว่า 'Zero-Based Budgeting' [อ้างอิง NerdWallet] ครับ ซึ่งหัวใจของมันคือการจัดสรรเงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่าที่สุดจนไม่เหลือช่องว่างให้เงินรั่วไหล
ผมอยากท้าเพื่อนๆ ลองตั้ง "ชาเลนจ์ 30 วัน" กับตัวเองดูไหมครับ? บอกตัวเองไปเลยว่า "เดือนนี้ฉันจะเข้าโหมดพระวัดป่า"
- "เดือนนี้ฉันจะงดชาไข่มุกและกาแฟแบรนด์ดัง 100% (กินกาแฟซองหรือน้ำเปล่าแทน)"
- "อาทิตย์นี้ฉันจะห่อข้าวไปกินเองทุกมื้อ (งดเดินห้าง งดเดลิเวอรี่)"
- "เดือนนี้ฉันจะไม่ออกไปปาร์ตี้สังสรรค์เลย (บอกเพื่อนไปตรงๆ ว่าช่วงนี้ช็อต)"
มันอาจจะดูทรมานนะครับในช่วงแรก มันจะมีความรู้สึก "ลงแดง" อยากใช้เงิน อยากกินของอร่อย แต่ขอให้ท่องจำไว้เสมอครับว่า "มันเป็นแค่ชั่วคราว" เราไม่ได้จะอดอยากปากแห้งไปตลอดชีวิต เราแค่ "อดเปรี้ยวไว้กินหวาน" ยอมลำบากกัดก้อนเกลือกินในช่วงสั้นๆ เพื่อเร่งสร้าง "ป้อมปราการเงินสำรอง" ให้เสร็จไวที่สุด
สุดท้ายแล้ว เชื่อไหมครับว่า พอเราผ่านช่วงเวลา 30 วันนรกแตกนี้ไปได้ เราจะค้นพบความจริงที่น่าตกใจว่า... จริงๆ แล้วความสุขของมนุษย์เรา มันใช้เงินน้อยกว่าที่คิดมากครับ เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้สบายๆ โดยไม่ต้องกินบุฟเฟต์หัวละพัน และเงินก้อนที่เราประหยัดได้จากความฟุ่มเฟือยพวกนี้แหละครับ คือ "อิฐก้อนใหญ่" ที่จะทำให้ถังเงินสำรองของเราเต็มเร็วขึ้นแบบติดจรวดครับ
ปฏิบัติการ "บัญชีล่องหน" วิธีตบตาความโลภของตัวเอง
ปัญหาโลกแตกที่ทำให้คนส่วนใหญ่เก็บเงินสำรองไม่สำเร็จสักที ไม่ใช่เพราะหาเงินไม่ได้นะครับ แต่เป็นเพราะ "ใจอ่อน" ครับ พอเราเห็นตัวเลขในบัญชีเงินเดือนเริ่มเยอะหน่อย สมองด้านมืดของเรามันจะเริ่มทำงานทันที มันจะเริ่มส่งสัญญาณลวงว่า "เฮ้ย! มีตังค์เหลือหนิ เอาไปซื้อของชิ้นนั้นเถอะ" หรือ "เดี๋ยวค่อยเก็บเดือนหน้าก็ได้ เดือนนี้ขอผ่อนคลายหน่อย" สุดท้ายเงินก้อนนั้นก็ระเหยหายไปกับสายลม
เพื่อแก้ปัญหานี้ เราจะใช้แค่ความตั้งใจอย่างเดียวไม่ได้ครับ เราต้องใช้วิธีทางจิตวิทยาเข้ามาช่วย นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอย่าง Richard Thaler ได้อธิบายปรากฏการณ์นี้ไว้ในทฤษฎีที่ชื่อว่า "บัญชีในใจ" (Mental Accounting) [อ้างอิง Investopedia] ครับ
ทฤษฎีนี้ระบุว่า คนเรามักจะให้ค่าของเงินไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าเงินนั้น "มาจากไหน" และ "เก็บไว้ที่ไหน" ถ้าเงินกองรวมอยู่ในบัญชีเดียวกับที่เรากดออกมาซื้อข้าวกินทุกวัน สมองเราจะตีตราเงินก้อนนั้นว่าเป็น "เงินใช้เล่น" (Spending Money) โดยอัตโนมัติ ทำให้เรากล้าควักออกมาใช้แบบไม่รู้สึกผิด
ดังนั้น เทคนิคไม้ตายที่ผมใช้แล้วได้ผลที่สุด คือการเปิด "บัญชีล่องหน" ครับ มันคือบัญชีธนาคารต่างหากอีกหนึ่งเล่ม ที่เราจงใจสร้างมาเพื่อ "ขังลืม" เงินก้อนนี้โดยเฉพาะ โดยมีกฎเหล็ก 3 ข้อครับ:
- ห้ามทำบัตร ATM/Debit เด็ดขาด เพื่อตัดวงจรการกดเงินสดออกมาใช้แบบง่ายๆ
- ห้ามผูกแอป Mobile Banking ในมือถือเครื่องหลัก หรือถ้าจะผูก ให้ผูกไว้ในแท็บเล็ตหรือมือถือเครื่องเก่าที่เก็บไว้ก้นลิ้นชัก เพื่อไม่ให้เราเห็นยอดเงินมายั่วยวนใจเวลาไถมือถือ
- ตั้งชื่อบัญชีว่า "ห้ามแตะต้อง (ถ้าไม่ตาย)" การตั้งชื่อบัญชีให้น่าเกรงขาม จะช่วยเตือนสติเราได้ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เราจะหน้ามืดโอนเงินออกมาครับ
แค่เราย้ายเงินไปซ่อนไว้ในที่ที่มองไม่เห็น สมองเราจะลืมไปเองครับว่ามีเงินก้อนนี้อยู่ และเราจะเริ่มบริหารจัดการชีวิตด้วยเงินที่เหลืออยู่ในบัญชีหลักได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ นี่แหละครับคือศิลปะการตบตาความโลภของตัวเองที่ได้ผลชะงัดนักแล
กฎทองคำ จ่ายให้ตัวเองก่อน (Pay Yourself First)
เมื่อเรามี "บัญชีล่องหน" เตรียมไว้พร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการส่งเสบียงเข้าไปในนั้นครับ และนี่คือกฎข้อสำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนสถานะการเงินของคุณจาก "ทาส" ให้กลายเป็น "นาย" กฎข้อนี้มีชื่อว่า "จ่ายให้ตัวเองก่อน" (Pay Yourself First) [อ้างอิง Investopedia]
ลองถามตัวเองดูนะครับ... ทุกวันนี้เราทำงานหนักเพื่อใคร? เงินเดือนออกปุ๊บ เราโอนจ่ายค่าเช่าห้อง (จ่ายให้เจ้าของหอ), จ่ายค่าบัตรเครดิต (จ่ายให้ธนาคาร), จ่ายค่าชานมไข่มุก (จ่ายให้ร้านค้า), หรือจ่ายค่าสมาชิก Netflix (จ่ายให้บริษัทต่างชาติ) เราแจกจ่ายเงินที่เราหามาด้วยหยาดเหงื่อให้คนอื่นจนครบทุกคน แต่ กลายเป็นว่า คนที่สำคัญที่สุดคือ "ตัวเราเองในอนาคต" กลับเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับเศษเงินที่เหลือ (ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่เหลือ)
- นี่คือสมการความจนครับ รายได้ - รายจ่าย = เงินออม (ถ้าเหลือ)
- เราต้องปฏิวัติสมการนี้ใหม่ครับ พลิกกระดานกันเดี๋ยวนี้เลย สมการของคนที่จะรอดต้องเป็นแบบนี้ครับ:
- รายได้ - เงินออม (เข้าบัญชีล่องหน) = รายจ่าย (ที่เหลือให้ใช้)
- วิธีการคือ ทันทีที่เงินเดือนเข้าปุ๊บ ให้ตั้งระบบโอนอัตโนมัติ (Auto-transfer) ตัดเงินเข้าบัญชีล่องหนทันทีครับ จะ 500 บาท 1,000 บาท หรือ 10% ของเงินเดือน ก็เอาตามที่ไหว แต่ต้องตัด "ก่อน" ที่จะเอาไปทำอย่างอื่น
สารภาพตามตรง เดือนแรกๆ ที่ผมทำแบบนี้ ผมแทบจะลงแดงตายครับ ความรู้สึกมันเหมือนเงินหายไปต่อหน้าต่อตา ใจมันหวิวๆ กลัวจะไม่พอใช้ถึงสิ้นเดือน แต่ สิ่งที่น่าแปลกคือ มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวเก่งเป็นบ้าเลยครับ พอเรารู้ว่าเราเหลือเงินในบัญชีใช้จ่ายแค่นี้ สมองเราจะเริ่มคำนวณอัตโนมัติทันทีว่าต้องกินต้องใช้อย่างไรให้อยู่รอด เราจะเริ่มตัดรายจ่ายไร้สาระออกโดยสัญชาตญาณ และสุดท้ายเราก็จะรอดมาได้แบบงงๆ โดยที่มีเงินนอนนิ่งๆ ในบัญชีสำรองเพิ่มขึ้นมาอีกก้อน นี่แหละครับคือเวทมนตร์ของการจ่ายให้ตัวเองก่อน
ชัยชนะเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ เมื่อตัวเลขกลายเป็นความมั่นใจ
หลังจากที่คุณกัดฟันทำตามแผน "Scavenger Mode" และยอมถือศีลอดทางการเงินมาสักพัก ช่วงแรกๆ มันจะรู้สึกเหมือนเรากำลังเดินอยู่ในอุโมงค์มืดๆ ที่ไม่เห็นปลายทางใช่ไหมครับ? แต่ผมอยากให้คุณลองจินตนาการถึงวินาทีนี้ดูครับ...
วินาทีที่ครบกำหนด 1 เดือน หรือ 3 เดือน แล้วคุณตัดสินใจล็อกอินเข้าไปดูความเคลื่อนไหวใน "บัญชีล่องหน" ที่คุณสั่งห้ามตัวเองแตะต้องมาตลอด... ทันทีที่ตัวเลขยอดเงินปรากฏขึ้นบนหน้าจอ แล้วเห็นว่าจากหลักร้อย มันขยับขึ้นมาเป็นหลักหมื่น หรืออาจจะแตะหลักแสนแรกในชีวิต... สารภาพตามตรง เลยครับว่า ความรู้สึกในวินาทีนั้นมัน "ฟิน" ยิ่งกว่าตอนที่คุณรูดบัตรซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม หรือตอนถอยมือถือเครื่องใหม่ร้อยเท่าพันทวีครับ
มันไม่ใช่ความดีใจตื่นเต้นแบบเด็กได้ของเล่นนะครับ แต่มันคือความรู้สึก "โล่งใจ" (Relief) แบบที่ผู้ใหญ่เขาเป็นกัน มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยากแต่มันมีพลังมหาศาล มันเหมือนเราเพิ่งวางกระสอบข้าวสารหนัก 50 กิโลที่แบกมาทั้งชีวิตลงจากบ่า ก้อนความเครียดที่เคยจุกอยู่ที่คอหอยเวลานอนไม่หลับ หรืออาการสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะระแวงเรื่องเงิน มันจะค่อยๆ ละลายหายไปเหมือนหมอกที่โดนแดดเผา
ความรู้สึกนี้มันเหมือนเสพติดครับ (ในทางที่ดี) พอคุณได้ลิ้มรสชาติของความอุ่นใจที่มีเงินสำรองหนุนหลังแล้ว คุณจะไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตเสี่ยงๆ แบบเดิมอีก คุณจะเริ่มมองว่าการซื้อของฟุ่มเฟือยเป็นเรื่องไร้สาระ และคุณจะเริ่มสนุกกับการแข่งกับตัวเองว่า "เดือนหน้าฉันจะทำให้ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นได้อีกเท่าไหร่" นี่แหละครับคือจุดเปลี่ยนทางจิตวิญญาณที่สำคัญที่สุด ที่จะเปลี่ยนคุณจาก "คนจนรุ่นใหม่" ให้กลายเป็น "ว่าที่เศรษฐี" ในอนาคตครับ
อำนาจของการปฏิเสธ (The Power of No)
สิ่งที่แพงที่สุดและมีค่าที่สุดที่เงินสำรองซื้อมอบให้เรา ไม่ใช่ดอกเบี้ยเงินฝาก ไม่ใช่เครดิตที่ดีขึ้น แต่มันคือ "อิสรภาพในการเลือก" (Freedom of Choice) ครับ ลองถามใจตัวเองดูนะครับ... เคยไหมครับที่ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานงกๆ ยอมให้เจ้านายโขกสับ ยอมให้ระบบงานเอาเปรียบ หรือยอมทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ (Toxic Environment) เพียงเพราะประโยคเดียวที่ดังก้องอยู่ในหัวว่า "ถ้าลาออกไป แล้วเดือนหน้าจะเอาอะไรกิน?" ความกลัวอดตายมันคือโซ่ตรวนที่ล่ามขาเราไว้กับความทุกข์ครับ ทำให้เราต้องยอมจำนนต่ออำนาจเงิน และสูญเสียความเป็นตัวเองไปทีละน้อย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมีถังเงินสำรองเต็มเปี่ยม (3-6 เดือน) กลายเป็นว่า โซ่ตรวนเส้นนั้นมันจะถูกตัดขาดสะบั้นลงทันทีครับ บุคลิกคุณจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คุณจะเดินหลังตรงขึ้น เสียงคุณจะดังขึ้น เวลาประชุมงานคุณจะกล้าเสนอความคิดเห็นที่ถูกต้องโดยไม่ต้องกลัวใครจะเกลียด เพราะลึกๆ คุณรู้ว่า "ไพ่ตาย" อยู่ในมือคุณ
คุณจะมี "อำนาจ" ในการเลือกที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
- คุณเลือกที่จะไม่ก้มหัวให้ระบบงานที่เอาเปรียบได้
- คุณเลือกที่จะปฏิเสธคำชวนไปปาร์ตี้ไร้สาระที่คุณไม่อยากไปได้
- คุณเลือกที่จะรอจังหวะที่ดีกว่าในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของชีวิตได้
ในวงการการเงินฝรั่งเขามีคำศัพท์แสบๆ คำหนึ่งที่เรียกว่า "F*ck You Money" ครับ (ขออภัยที่หยาบคายแต่มันเห็นภาพที่สุด) มันหมายถึง "เงินก้อนที่มากพอที่จะทำให้เรากล้าเดินไปบอกเจ้านายเฮงซวย หรือสถานการณ์แย่ๆ ว่า 'ไปตายซะ' แล้วเดินออกมาได้อย่างสง่าผ่าเผย" นี่แหละครับคือรสชาติของอิสรภาพที่แท้จริง ที่ต่อให้คุณเอาเงินร้อยล้านมาแลกตอนแก่ ก็ไม่คุ้มเท่ากับการมีมันในวันที่เรายังหนุ่มยังแน่นครับ
บทสรุป อย่าเพิ่งบิน ถ้าปีกยังไม่แข็ง
อ่านมาถึงตรงนี้ เพื่อนๆ คงเห็นภาพชัดเจนแล้วนะครับว่า ทำไม "ถังเงินสำรอง" ถึงเป็นด่านที่สำคัญที่สุดที่ห้ามข้ามเด็ดขาด หลายคนอาจจะมองว่าการเก็บเงินสำรองมันเป็นเรื่องที่ "น่าเบื่อ" (Boring) ที่สุดในโลกการเงิน มันไม่เร้าใจเหมือนการเทรดหุ้นให้กำไรพุ่งปรี๊ดปร๊าด หรือการเก็งกำไรที่ดินที่ทำให้รวยข้ามคืน แต่เชื่อผมเถอะครับว่า ในโลกของการเงิน (และความเป็นจริง) "ความน่าเบื่อ คือความมั่นคง" (Boredom is Stability) ครับ
ถ้าวันนี้คุณยังไม่มีเงินสำรองเลยแม้แต่บาทเดียว ผมขอร้องให้หยุดความคิดที่จะรวยเร็วๆ ไว้ก่อน วางหนังสือสอนเล่นหุ้นลง ปิดแอปกระดานเทรดคริปโตฯ ไปก่อน แล้วหันกลับมาโฟกัสที่การสร้าง "ฐานพีระมิด" ของตัวเองให้แน่นหนาที่สุดก่อน
อย่าลืมนะครับว่า ตึกที่สูงระฟ้าที่สุดในโลกอย่างตึก Burj Khalifa ไม่ได้ตั้งตระหง่านอยู่ได้เพราะยอดเสาอากาศที่สวยงาม แต่มันยืนหยัดท้าพายุอยู่ได้เพราะ "ฐานราก" ที่ฝังลึกลงไปใต้ดินอย่างมั่นคงและแข็งแรงต่างหาก ชีวิตการเงินของคุณก็เช่นกันครับ ถ้าฐานคุณแน่นพอ ต่อให้พายุเศรษฐกิจจะพัดแรงแค่ไหน หรือโชคชะตาจะเล่นตลกกับคุณยังไง คุณก็จะยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่พังครืนลงมา
ภารกิจวัดใจสำหรับชาว Start Again: เริ่มสร้าง "ป้อมปราการ" ของคุณเดี๋ยวนี้!
ภารกิจสำหรับ EP นี้ ผมไม่มีการบ้านอะไรซับซ้อนให้ปวดหัวครับ ขอแค่ข้อเดียวสั้นๆ แต่ทำยากที่สุดสำหรับคนที่ไม่เคยทำ คือ "เริ่มเก็บเงินสำรองก้อนแรกให้ได้เท่ากับรายจ่าย 1 เดือน" ไม่ต้องมองไปไกลถึง 6 เดือนหรือ 12 เดือนครับ ตัวเลขนั้นมันไกลเกินไปจนทำให้เราท้อ เอาแค่เดือนเดียวให้รอดก่อน ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่เป็นไปได้ (Small Win) เช่น "ภายใน 3 เดือนนี้ ฉันจะมีเงินสดนอนนิ่งๆ 15,000 บาท"
- กลับไปรื้อตู้เสื้อผ้า ขายของเก่าที่ไม่ได้ใช้ซะ
- งดกาแฟแบรนด์ดัง หันมากินกาแฟซอง
- ห่อข้าวไปกินเอง เลิกเดินห้างสักพัก
- รับจ้างทำโอที หรือหารายได้เสริมอะไรก็ได้
ทำทุกวิถีทางเพื่อเติมถังใบแรกนี้ให้เต็มเร็วที่สุด แล้วคุณจะพบว่าวินาทีที่คุณทำสำเร็จ โลกทั้งใบจะดูเปลี่ยนไป ท้องฟ้าจะดูสดใสขึ้น กาแฟซองธรรมดาจะอร่อยขึ้น และคุณจะเดินไปทำงานด้วยความรู้สึกที่มั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะคุณรู้ว่าคุณมี "หลังพิง" ที่แข็งแกร่งแล้ว
สถานีต่อไป ปลดโซ่ตรวนแห่งหนี้สิน
และเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณสร้างป้อมปราการเสร็จเรียบร้อย มีเกราะป้องกันภัยที่แข็งแกร่งแล้ว ในบทความหน้า Start Again EP.4 (เร็วๆ นี้) ผมจะพาเพื่อนๆ ไปหยิบอาวุธหนัก แล้วเดินหน้าเข้าสู่สมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดของคนยุคนี้ นั่นคือ "สงครามการปลดหนี้" ครับ
เราจะไปดูกันว่าหนี้แบบไหนคือศัตรูที่ต้องรีบฆ่าทิ้ง หนี้แบบไหนคือมิตรที่เลี้ยงไว้ได้ และเจาะลึกเทคนิคการ "โปะหนี้" ระดับโลกอย่าง Snowball Method vs Avalanche Method ว่าวิธีไหนที่จะช่วยปลดแอกเราได้เร็วกว่ากัน เตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมกระสุนดินดำ (เงินสำรอง) ไว้ให้พร้อม แล้วเจอกันในสนามรบครับ
"ในวันที่พายุโหมกระหน่ำ คนที่มีร่มคันใหญ่ที่สุด ไม่ใช่คนที่รวยที่สุด แต่คือคนที่เตรียมพร้อมที่สุดต่างหาก"




แสดงความคิดเห็น
ร่วมแบ่งปันไอเดียหรือสอบถามได้ที่นี่