ยินดีต้อนรับสู่สมรภูมิเลือด
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Start Again ทุกคน... ยินดีต้อนรับกลับสู่ "โลกแห่งความจริง" ครับ
หลังจากที่ใน [Start Again EP3] เราได้ร่วมแรงร่วมใจกันขุดดิน ตอกเสาเข็ม และก่อสร้าง "ป้อมปราการเงินสำรอง" จนเสร็จสมบูรณ์กันไปแล้ว (ใครยังไม่มีป้อม กลับไปสร้างเดี๋ยวนี้เลยนะครับ อย่าเพิ่งห้าวเดินหน้าต่อ ไม่งั้นตายคาที่แน่นอน) วันนี้... ได้เวลาที่เราจะวางจอบ วางเสียม แล้วหันไปหยิบ "อาวุธหนัก" ขึ้นมาสะพายบ่าแทนแล้วครับ เพราะด่านที่เรากำลังจะก้าวเข้าไปนี้ มันไม่ใช่แค่การก่อสร้าง แต่มันคือ "สงคราม" และศัตรูที่เรากำลังจะไปงัดข้อด้วย ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ มันคือปีศาจร้ายที่กัดกินความฝันและดูดกลืนวิญญาณคนรุ่นใหม่ไปมากที่สุด มันมีชื่อว่า "หนี้สิน" ครับ เชื่อไหมครับว่า เพื่อนๆ หลายคนกำลังตกอยู่ในสภาวะที่เหมือนเป็นแค่ "ทางผ่านของเงิน" โดยไม่รู้ตัว?
เราตื่นเช้า ฝ่ารถติด ทำงานงกๆ จนหลังขดหลังแข็ง ยอมทนโดนด่า ยอมทนเครียด เพื่อรอคอยวันสิ้นเดือนเพียงวันเดียว แต่พอเงินเดือนโอนเข้ามาปุ๊บ... ติ๊ง! เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น ไม่ใช่เสียงสวรรค์นะครับ แต่มันคือเสียงระฆังพักยกที่บอกให้เรารีบโอนเงินออกไป
- จ่ายค่าบัตรเครดิตใบที่ 1
- จ่ายค่าผ่อนรถ
- จ่ายสินเชื่อส่วนบุคคล
- จ่ายค่าผ่อนโทรศัพท์
ภายในไม่กี่นาที เงินก้อนโตที่เราแลกมาด้วยหยาดเหงื่อทั้งเดือน ก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา เหลือทิ้งไว้แค่เศษเงินติดบัญชีหลักร้อย กับความรู้สึก "ว่างเปล่า" ที่กัดกินหัวใจ เราทำงานหนักแทบตาย แต่ทำไมคนรวยกลับเป็นธนาคาร? เราทุ่มเทแทบขาดใจ แต่ทำไมเจ้าหนี้ถึงเป็นคนเดียวที่ยิ้มได้?
พูดกันตามตรงเลยครับ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือ "ระบบทาสยุคใหม่" (Modern Slavery) ที่ถูกออกแบบมาอย่างแนบเนียน เพื่อล่ามโซ่ตรวนเราไว้ให้วิ่งอยู่ในวงล้อหนูถีบจักรไปจนวันตาย โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรากำลังเป็นทาสอยู่
กับดักที่ชื่อว่า "ขั้นต่ำ" ยาพิษที่เคลือบด้วยน้ำตาล
พูดกันแบบไม่อ้อมค้อมเลยนะครับ จุดเริ่มต้นของหายนะทางการเงินส่วนใหญ่ ไม่ได้เกิดจากการกู้ซื้อบ้านหลังละสิบล้าน หรือไปลงทุนทำธุรกิจแล้วเจ๊งเป็นร้อยล้านหรอกครับ แต่มันมักจะเริ่มจากจุดเล็กๆ ที่ดูไม่มีพิษมีภัยในใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต จุดที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรเล็กจิ๋วแต่ทรงพลังที่สุด ที่เขียนว่า "ยอดชำระขั้นต่ำ" (Minimum Payment) ลองนึกภาพตามผมนะครับ... วินาทีที่เราเปิดซองจดหมาย หรือเปิดแอปธนาคารขึ้นมาดู แล้วเห็นยอดหนี้เต็มจำนวน (Full Payment) โชว์หราอยู่ที่ 20,000 บาท หัวใจเรามันมักจะหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มใช่ไหมครับ? เหงื่อเริ่มตก มือเริ่มสั่น เพราะเรารู้ดีว่าเงินในกระเป๋ามีไม่พอจ่าย แต่แล้ว... สายตาเราก็เหลือบไปเห็นตัวเลขอีกชุดหนึ่งข้างล่าง ที่บอกว่า "จ่ายขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท" หรือ "2,000 บาท"
ทันใดนั้นเอง ใจเรามันจะฟูขึ้นมาทันทีเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เราจะรู้สึกขอบคุณธนาคารที่ "ใจดี" ช่วยต่อลมหายใจให้เราในเดือนนี้ เราจะรีบกดจ่ายยอดนั้นไปอย่างไวว่อง พร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกว่า "เฮ้อ! รอดไปอีกเดือน" แต่ช้าก่อนครับเพื่อนๆ... ในโลกธุรกิจการเงิน ไม่มีคำว่าใจดี มีแต่คำว่ากำไรสูงสุดครับ การที่ธนาคารอนุญาตให้เราจ่ายแค่เศษเสี้ยวของหนี้จริง ไม่ใช่ความเมตตาปรานีแต่อย่างใด แต่มันคือ "กลยุทธ์ทางคณิตศาสตร์" ที่ถูกคำนวณมาแล้วอย่างเลือดเย็นที่สุด เพื่อเปลี่ยนสถานะของคุณจาก "ลูกค้า" ให้กลายเป็น "ทาสดอกเบี้ย" ไปตลอดกาล
ทำไม "ขั้นต่ำ" ถึงเท่ากับ "การฆ่าตัวตายผ่อนส่ง"?
เรื่องนี้เป็นกฎเหล็กที่ที่ปรึกษาการเงินทั่วโลกต่างเตือนเป็นเสียงเดียวกันว่า 'ห้ามทำเด็ดขาด ถ้าไม่จำเป็นถึงชีวิต' ก็เพราะว่า การจ่ายขั้นต่ำเปรียบเสมือนการเลี้ยงไข้ครับ มันไม่ได้ช่วยรักษาโรคร้ายให้หายขาดเลยแม้แต่น้อย เงิน 1,000 บาทที่คุณจ่ายไปนั้น แทบจะไม่ได้ถูกนำไปตัด "เงินต้น" เลยครับ แต่มันจะถูกดูดไปจ่าย "ดอกเบี้ย" เกือบทั้งหมด สมมติคุณเป็นหนี้บัตร 100,000 บาท (ดอกเบี้ย 16% ต่อปี) แล้วคุณเลือกจ่ายแต่ขั้นต่ำ 5% ไปเรื่อยๆ โดยไม่กดมาใช้เพิ่มเลยแม้แต่บาทเดียว เชื่อไหมครับว่า คุณจะต้องใช้เวลาผ่อนนานถึง 7-8 ปี! กว่าหนี้ก้อนนี้จะหมด และที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ เมื่อลองบวกลบดูตอนจบ คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยรวมๆ แล้วแพงกว่าเงินต้นที่คุณยืมมาตอนแรกซะอีก!
นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมเรียกว่า "สัญญาทาสตลอดชีพ" ธนาคารรักลูกค้าที่จ่ายขั้นต่ำที่สุดครับ ยิ่งคุณจ่ายขั้นต่ำนานเท่าไหร่ เขายิ่งรวยขึ้นเท่านั้น เพราะคุณคือ "วัวนม" ชั้นดีที่เขาจะสามารถรีดเลือดรีดเนื้อไปได้เรื่อยๆ จนกว่าคุณจะหมดลมหายใจกันไปข้างนึง ยอมรับความจริงเถอะครับ ว่าวินาทีที่คุณตัดสินใจกดปุ่ม "จ่ายขั้นต่ำ" คุณไม่ได้กำลัง "แก้ปัญหา" ครับ แต่คุณแค่กำลัง "ซื้อเวลา"... และเวลานั้นมีราคาแพงระยับ แพงจนคุณอาจจะต้องแลกด้วยอิสรภาพทั้งชีวิตของคุณเพื่อชดใช้มัน
พิธีกรรมสารภาพบาป จงมองตาปีศาจ แล้วเรียกชื่อมันออกมา
ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดในสงครามครั้งนี้ ไม่ใช่ธนาคารหน้าเลือด ไม่ใช่ดอกเบี้ยโหด และไม่ใช่แก๊งทวงหนี้นอกระบบครับ... แต่ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด คือ "ความกลัวที่จะยอมรับความจริง" (Fear of Reality) ที่ซ่อนอยู่ในใจเราต่างหาก เพื่อนๆ เคยเป็นไหมครับ? เวลาบิลบัตรเครดิตส่งมาที่บ้าน เราไม่กล้าแม้แต่จะแกะซองดู เราเลือกที่จะโยนมันทิ้งไว้บนหลังตู้เย็น หรือซุกไว้ใต้กองหนังสือพิมพ์ แล้วทำเป็นลืมๆ มันไป เหมือนกับเด็กที่เอามือปิดตาแล้วคิดว่าปีศาจจะมองไม่เห็น หรือเวลาใครถามเรื่องหนี้ เราก็จะตอบปัดๆ ไปว่า "โอ๊ย! สบายมาก คุมอยู่" ทั้งที่ในใจกำลังกรีดร้องและไฟกำลังไหม้บ้านอยู่รอมร่อ
ในทางจิตวิทยาเรียกพฤติกรรมนี้ว่า 'Ostrich Effect' หรือพฤติกรรมนกกระจอกเทศ [อ้างอิง Psychology Today] ครับ ซึ่งอธิบายถึงกลไกป้องกันตัวของมนุษย์ที่เวลาเจอข้อมูลเชิงลบหรือภัยคุกคามทางการเงิน เรามักจะเลือก "เอาหัวมุดดิน" เพื่อหนีความจริง วิธีนี้อาจจะทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้นชั่วคราว แต่มันไม่ได้ทำให้นักล่าหายไป เผลอๆ จะโดนงับหัวขาดง่ายกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะเรามองไม่เห็นศัตรู
List of Shame บัญชีหนังหมาที่ต้องกางออกมาดู
วันนี้ผมขอท้าให้เพื่อนๆ ทำสิ่งที่ยากที่สุดและฝืนใจที่สุดในชีวิตการเงินครับ นั่นคือการทำ "พิธีกรรมสารภาพบาป" (Face the Truth) ให้เพื่อนๆ ไปหยิบกระดาษ A4 มาหนึ่งแผ่น (หรือเปิด Excel ขึ้นมาก็ได้ครับ) แล้วไปรื้อค้นใบแจ้งหนี้ทุกใบ สัญญาเงินกู้ทุกฉบับ หรือสมุดจดหนี้เพื่อนทุกเล่ม ออกมากองรวมกันตรงหน้า หายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มจดบันทึก "ศัตรู" ของเราออกมาทีละตัวอย่างละเอียดที่สุด ห้ามโกหกตัวเองแม้แต่บาทเดียว ตารางที่ต้องทำมีดังนี้ครับ
- ชื่อเจ้าหนี้ (เช่น บัตร A, สินเชื่อ B, ยืมป้าข้างบ้าน C)
- ยอดหนี้คงเหลือ (เงินต้นที่ค้างอยู่ทั้งหมด ณ วันนี้)
- อัตราดอกเบี้ย (อันนี้สำคัญมาก! ต้องรู้ว่าใครโหดสุด)
- ยอดจ่ายขั้นต่ำ (ตัวเลขที่เราจ่ายเลี้ยงไข้อยู่ทุกเดือน)
ทำไมต้องทำแบบนี้? เหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เขียนออกมา เพราะ การเขียนปัญหาออกมาเป็นตัวลายลักษณ์อักษร จะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลที่ฟุ้งซ่านอยู่ในหัวเราได้ (Cognitive Offloading) จากเดิมที่เรามองเห็นหนี้เป็น "ปีศาจเงาดำๆ" ที่น่ากลัวและจับต้องไม่ได้ พอเราเขียนมันออกมา มันจะกลายเป็นแค่ "ตัวเลขทางคณิตศาสตร์" ที่เราสามารถจัดการ แก้ไข และวางแผนฆ่ามันได้ครับ
วินาทีแรกที่คุณเห็นตัวเลขยอดรวม (Total Debt) ที่บรรทัดสุดท้าย คุณอาจจะช็อก มือสั่น หรืออยากจะร้องไห้ออกมา ร้องออกมาเลยครับ! ร้องให้พอ ยอมรับความผิดพลาดที่ผ่านมา แล้วบอกตัวเองดังๆ ว่า "นี่คือตัวเลขสุดท้ายที่ฉันจะเห็นมันเยอะขนาดนี้ เดือนหน้ามันจะต้องลดลง!" การยอมรับความจริงคือ "ก้าวแรก" ของชัยชนะครับ ถ้าผ่านจุดนี้ไปได้ คุณก็ชนะไปครึ่งตัวแล้ว
แยกมิตรออกจากศัตรู หนี้ไม่ได้เลวร้ายไปซะหมด (แต่ส่วนใหญ่ของคุณน่ะใช่!)
พูดกันตามตรง เพื่อนๆ หลายคนอาจจะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า "การไม่มีหนี้คือลาภอันประเสริฐ" ใช่ไหมครับ? คำสอนนี้ถูกต้องครับแต่ถูกแค่ครึ่งเดียว เพราะในโลกของทุนนิยม "หนี้สิน" เปรียบเสมือน "ไฟ" ครับ ถ้าเราใช้มันเป็น มันจะช่วยหุงหาอาหารและให้ความอบอุ่นแก่เราได้ (สร้างความมั่งคั่ง) แต่ถ้าเราใช้ไม่เป็น หรือเล่นกับมันด้วยความประมาท มันก็จะเผาบ้านเราวอดวายทั้งหลัง เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด ผมขอยกหลักการระดับโลกจาก Robert Kiyosaki ผู้เขียนหนังสือ 'Rich Dad Poor Dad' [อ้างอิง Rich Dad] ที่แบ่งหนี้ออกเป็น 2 ประเภทง่ายๆ แต่ทรงพลังที่สุด ดังนี้ครับ
- หนี้เสีย (Bad Debt) คือหนี้ที่ "ดึงเงินออกจากกระเป๋าเรา" มันคือหนี้ที่เราก่อเพื่อซื้อ "หนี้สิน" (Liabilities) หรือของที่มูลค่าลดลงตามกาลเวลา เช่น หนี้บัตรเครดิตที่รูดซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม, หนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่กู้ไปเที่ยวญี่ปุ่น, หรือหนี้ผ่อนรถยนต์คันหรูที่ขับแล้วเท่แต่กินน้ำมันดุเดือด หนี้พวกนี้คือ "ศัตรูตัวฉกาจ" ที่เราต้องรีบกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งถือไว้นาน เรายิ่งจนลง
- หนี้ดี (Good Debt) คือหนี้ที่ "ใส่เงินเข้ากระเป๋าเรา" มันคือหนี้ที่เราก่อเพื่อซื้อ "ทรัพย์สิน" (Assets) ที่สร้างรายได้หรือมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต เช่น กู้เงินมาซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่า (โดยที่ค่าเช่าต้องมากกว่าค่าผ่อน), หรือกู้มาขยายกิจการที่ทำกำไรอยู่แล้ว หนี้แบบนี้คือ "พันธมิตร" ครับ เพราะมันช่วยใช้ "พลังทวี" (Leverage) ให้เรารวยเร็วขึ้น โดยใช้เงินคนอื่น (OPM - Other People's Money) ทำงานแทนเรา
จุดตายที่คนส่วนใหญ่พลาดคือ เรามักจะหลอกตัวเองครับ เราชอบเอากิเลสมาบังหน้าแล้วบอกว่า "ซื้อรถคันนี้เป็นหนี้ดี เพราะเอาไว้ขับไปหาลูกค้า" (ทั้งที่จริงๆ ขับ Eco Car ก็หาลูกค้าได้เหมือนกัน แต่เราเลือกตัวท็อปเพราะอยากอวดสาว) จงซื่อสัตย์กับตัวเองครับ กางบัญชีหนี้ที่คุณทำใน Part 3 ออกมาดู แล้ววงกลมสีแดงตัวโตๆ ใส่หนี้ทุกก้อนที่ไม่สร้างรายได้... นั่นแหละครับคือเป้าหมายที่เราจะบุกถล่มในสงครามครั้งนี้
เช็คชีพจรการเงิน คุณกำลัง "โคม่า" แค่ไหน?
เมื่อเรารู้แล้วว่าใครคือศัตรู สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือการประเมิน "ขีดความสามารถในการรบ" ของตัวเราเองครับ ว่าตอนนี้สถานะการเงินของเรายังแข็งแรงพอที่จะบุกโจมตี หรือกำลังร่อแร่จนต้องเข้า ICU เครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในการวัดชีพจรการเงิน คือดัชนีชี้วัดที่เรียกว่า "อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้" หรือ DTI (Debt-to-Income Ratio) [อ้างอิง Investopedia] ครับ ตัวเลขนี้สำคัญมากเพราะเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลกใช้ประเมินความเสี่ยงในการปล่อยกู้
สูตรคำนวณความเป็นตาย
หยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมาเลยครับ สูตรมันง่ายมาก DTI = (ภาระหนี้ที่ต้องจ่ายต่อเดือน / รายได้รวมต่อเดือน) x 100
- ตัวอย่าง: ถ้าคุณต้องจ่ายค่าผ่อนรถ+บัตรเครดิต+สินเชื่อ รวมเดือนละ 12,000 บาท และคุณมีเงินเดือน 30,000 บาท
- DTI ของคุณคือ (12,000 / 30,000) x 100 = 40%
ทีนี้มาดูเกณฑ์ตัดสินชะตากรรมกันครับ:
- 🟢 0 - 36% (Healthy) สุขภาพแข็งแรง หายใจสะดวก ยังพอมีเงินเหลือเก็บเหลือลงทุน
- 🟡 36 - 43% (Warning) เริ่มตึงๆ เหมือนคนหายใจไม่ทั่วท้อง ต้องเริ่มระวังการใช้จ่าย
- 🔴 เกิน 43% (Danger Zone) สัญญาณเตือนภัยดังแล้วครับ! คุณกำลังเข้าสู่ภาวะ "หนี้ท่วมหัว" เสี่ยงที่จะหมุนเงินไม่ทัน และถ้าเกิดอุบัติเหตุทางการเงินแม้แต่นิดเดียว (เช่น ป่วย หรือรถเสีย) ชีวิตคุณจะพังครืนทันที
เชื่อไหมครับว่า คนไทยจำนวนมากมี DTI ทะลุ 60-70% ไปแล้ว! ซึ่งนั่นแปลว่าเขาทำงานมาทั้งเดือนเพื่อเอาเงินไปประเคนให้เจ้าหนี้เกือบหมด เหลือเงินกินข้าวแทบไม่ถึงสิ้นเดือน ถ้าตัวเลขของคุณตกอยู่ในโซนสีแดงนี้ ขอให้รู้ไว้เลยครับว่า "ไฟไหม้บ้านแล้ว" และคุณไม่มีเวลาให้เสียแม้แต่วินาทีเดียวครับ
กฎอัยการศึก หยุดเลือดไหลก่อนจะตาย
สิ่งที่ยากที่สุดในการแก้หนี้ ไม่ใช่การหาเงินมาคืนครับ แต่คือการ "หยุดสร้างหนี้เพิ่ม" ลองจินตนาการดูนะครับ... คุณเป็นทหารที่กำลังบาดเจ็บเลือดไหลโกรกในสนามรบ ต่อให้คุณมีหมอเทวดามารักษา หรือมียาดีแค่ไหน แต่ถ้าคุณยังไม่ยอม "ห้ามเลือด" และยังวิ่งออกไปให้ข้าศึกยิงซ้ำๆ คุณคิดว่าคุณจะรอดไหมครับ? ไม่มีทางครับ คุณจะตายเพราะเลือดหมดตัวก่อน ดังนั้น ก่อนที่เราจะไปเริ่มจ่ายหนี้คืน ผมขอประกาศ "กฎอัยการศึก" ณ บัดนี้ครับ ขอให้ทุกคนทำตามอย่างเคร่งครัด
- ยึดอำนาจบัตรเครดิต เอาบัตรทุกใบออกมาจากกระเป๋าสตางค์ครับ! ถ้าใจไม่แข็งพอที่จะตัดทิ้ง ให้เอามันไปใส่แก้วน้ำแล้วแช่ช่องฟรีซ (Freeze) ไว้เลยครับ (อันนี้เรื่องจริงนะครับ ไม่ได้มุก) วิธีนี้เป็นการสร้าง "แรงเสียดทาน" (Friction) ในทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เพื่อให้เราหยิบมาใช้ยากขึ้นครับ
- ลบแอปดูดเงินทิ้ง Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือแอปสั่งอาหาร ลบได้ลบไปก่อนครับ หรืออย่างน้อยที่สุดต้อง "Unlink บัตรเครดิต" ออกจากทุกแอป อย่าให้มันตัดเงินเราได้ง่ายๆ แค่คลิกเดียว
- ท่องคาถา "No New Debt" สัญญากับตัวเองว่า "ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่สร้างหนี้เพิ่มแม้แต่บาทเดียว" ถ้าไม่มีเงินสด ก็คือไม่ซื้อ จบข่าว
ยอมรับความจริงเถอะครับ ว่าถังน้ำที่รั่ว ต่อให้เติมน้ำเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม ถ้าวันนี้คุณยังรูดบัตรเพิ่มอยู่ ก็เท่ากับคุณกำลังเจาะรูที่ก้นถังตัวเองให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ หยุดมือตัวเองเดี๋ยวนี้ครับ แล้วเราจะไปเริ่มซ่อมถังกัน
ยุทธวิธีที่ 1 ก้อนหิมะถล่ม (The Debt Snowball)
เมื่อเลือดหยุดไหลแล้ว ก็ได้เวลาหยิบอาวุธขึ้นมาสู้ครับ ยุทธวิธีแรกที่ผมภูมิใจนำเสนอ เป็นท่าไม้ตายที่โด่งดังไปทั่วโลกและเปลี่ยนชีวิตคนนับล้านมาแล้ว นั่นคือวิธีที่เรียกว่า "The Debt Snowball" หรือ "ก้อนหิมะถล่ม" ซึ่งถูกเผยแพร่โดยกูรูการเงินชื่อดังอย่าง Dave Ramsey [อ้างอิง Dave Ramsey How the Debt Snowball Method Works]
หลักการทำงาน ฆ่าตัวเล็กก่อน เพื่อขวัญกำลังใจ
วิธีนี้ขัดใจนักคณิตศาสตร์แต่ถูกใจนักจิตวิทยาที่สุดครับ หลักการง่ายๆ คือ
- เรียงลำดับหนี้ จาก "ยอดคงเหลือ น้อยที่สุด" ไปหา "มากที่สุด" (โดยไม่ต้องสนใจดอกเบี้ย)
- จ่ายขั้นต่ำ เลี้ยงไข้หนี้ก้อนอื่นๆ ทุกก้อนไปก่อน
- ระดมยิง เอาเงินก้อนพิเศษทุุกบาททุกสตางค์ที่คุณมี (จาก Scavenger Mode ใน EP.3) ไปทุ่มโปะ "หนี้ก้อนที่เล็กที่สุด" ให้หมดไวที่สุด
- กลิ้งหิมะ พอหนี้ก้อนเล็กสุดหมดลง ให้เอาเงินขั้นต่ำที่เคยจ่ายก้อนนั้น ไปบวกเพิ่มโปะก้อนถัดไป เงินที่เอาไปโปะจะก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนลูกหิมะที่กลิ้งลงจากภูเขาครับ
ทำไมต้องวิธีนี้? นักจิตวิทยาบอกว่า...
หลายคนอาจเถียงว่า "อ้าว! ไปจ่ายก้อนดอกแพงก่อนไม่คุ้มกว่าเหรอ?" ในทางคณิตศาสตร์ใช่ครับ แต่ในทางจิตวิทยา งานวิจัยจาก Harvard Business Review [อ้างอิง Harvard Business Review The Power of Small Wins] ยืนยันว่า มนุษย์เราขับเคลื่อนด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผลครับ
การที่เราปิดหนี้ก้อนเล็กๆ ได้เร็ว (เช่น หนี้ยืมเพื่อน 2,000 บาท หรือหนี้ผ่อนไมโครเวฟ) มันจะทำให้เกิด "Small Win" หรือชัยชนะเล็กๆ ครับ สมองเราจะหลั่งสารโดพามีนออกมา ทำให้เรารู้สึกฮึกเหิม มีกำลังใจ และเชื่อมั่นว่า "เฮ้ย! ฉันทำได้ว่ะ" ความรู้สึกนี้แหละครับคือเชื้อเพลิงสำคัญที่จะทำให้เรามีแรงไปสู้กับบอสตัวใหญ่ๆ ต่อไปโดยไม่ถอดใจยอมแพ้กลางทาง
จำไว้นะครับ สงครามหนี้ไม่ใช่เรื่องของตัวเลข (Math) แต่มันคือเรื่องของพฤติกรรม (Behavior) ถ้าคุณรู้ตัวว่าเป็นคนขี้ท้อ หรือต้องการกำลังใจด่วนๆ Snowball คืออาวุธที่เหมาะกับคุณที่สุดครับ
ยุทธวิธีที่ 2 หิมะถล่มทลาย (The Debt Avalanche)
ถ้าคุณเป็นคนประเภทที่เห็นตัวเลขดอกเบี้ยแล้ว "ของขึ้น" หรือเป็นสายแข็งที่ใช้เหตุผลนำหน้าอารมณ์ วิธี Snowball อาจจะดูขัดใจคุณครับ เพราะการไปจ่ายหนี้ก้อนเล็กที่ดอกเบี้ยต่ำก่อน มันดู "ขาดทุน" ในเชิงคณิตศาสตร์ ถ้าคุณคิดแบบนี้ ผมขอเสนออาวุธหนักชิ้นที่สองครับ มันคือ "The Debt Avalanche" หรือ "หิมะถล่มทลาย" [อ้างอิง: Investopedia]
หลักการทำงาน เด็ดหัวตัวที่โหดที่สุดก่อน
วิธีนี้เปรียบเสมือนการส่ง "หน่วยรบพิเศษ" ไปลอบสังหารแม่ทัพของศัตรูครับ หลักการคือ:
- เรียงลำดับหนี้: จาก "อัตราดอกเบี้ย สูงที่สุด" ไปหา "ต่ำที่สุด" (โดยไม่สนยอดหนี้คงเหลือ)
- จ่ายขั้นต่ำ: เลี้ยงไข้หนี้ก้อนอื่นๆ ทั้งหมด
- ระดมยิง: เอาเงินก้อนพิเศษทั้งหมด ไปทุ่มโปะ "หนี้ที่มีดอกเบี้ยแพงที่สุด" (เช่น หนี้นอกระบบ หรือบัตรกดเงินสด) ให้ตายไวที่สุด
- ถล่มทลาย: พอตัวโหดตายแล้ว ก็เอาเงินที่เหลือไปรุมกินโต๊ะตัวที่โหดรองลงมาเรื่อยๆ
ทำไมวิธีนี้ถึงฉลาดที่สุด? (ในทางคณิตศาสตร์)
นักวางแผนการเงินและนักคณิตศาสตร์ทั่วโลกต่างยกย่องวิธีนี้ว่าเป็น 'Mathematically Optimal Strategy' หรือกลยุทธ์ที่คุ้มค่าที่สุดครับ เพราะการรีบกำจัดหนี้ดอกเบี้ยสูง (เช่น 25-28%) ออกไปก่อน จะช่วยให้เรา "ประหยัดเงินค่าดอกเบี้ย" ได้มากที่สุด และทำให้เราหลุดพ้นจากวงจรหนี้ได้ "เร็วที่สุด" ในเชิงตัวเลขครับ
ศึกสายเลือด Snowball vs Avalanche วิธีไหนดีกว่ากัน?
คำถามโลกแตกที่เถียงกันไม่จบในวงการการเงินคือ "ตกลงใช้วิธีไหนดีกว่า?" คำตอบของผมสั้นๆ ครับ... "วิธีที่ดีที่สุด คือวิธีที่คุณทำมันได้จนจบ" เพื่อให้ตัดสินใจง่ายขึ้น ผมสรุปข้อดี-ข้อเสียมาให้ชนกันหมัดต่อหมัดครับ
-
ทีม Snowball (เน้นใจ):
- ✅ ข้อดี ได้กำลังใจไว (Quick Win), รู้สึกดีที่เห็นจำนวนเจ้าหนี้ลดลงเร็ว, เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มหรือท้อแท้ง่าย
- ❌ ข้อเสีย จ่ายดอกเบี้ยรวมแพงกว่า, ปลดหนี้ช้ากว่านิดหน่อย
- 👉 เหมาะกับ คนที่ต้องการ "กำลังใจ" เป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน
-
ทีม Avalanche (เน้นคุ้ม):
- ✅ ข้อดี ประหยัดดอกเบี้ยได้มากที่สุด, ปลดหนี้ได้เร็วที่สุด (ในทางทฤษฎี)
- ❌ ข้อเสีย ช่วงแรกอาจจะท้อ เพราะหนี้ก้อนดอกแพงมักจะยอดเยอะ (เช่น บัตรกดเงินสดเต็มวงเงิน) โปะตั้งนานยอดก็ไม่ค่อยลด ความรู้สึกสำเร็จมาช้า
- 👉 เหมาะกับ คนที่มีวินัยสูง, ใจแข็ง, และเกลียดการเสียเปรียบเรื่องดอกเบี้ย
คำแนะนำจากผม ถ้าคุณยังลังเล ให้เริ่มด้วย Snowball ก่อนครับ เพื่อสร้างความมั่นใจในช่วง 1-2 เดือนแรก พอคุณเริ่ม "เสพติดชัยชนะ" และมีวินัยการเงินแข็งแกร่งแล้ว ค่อยเปลี่ยนมาใช้ Avalanche เพื่อเร่งความเร็วและประหยัดดอกเบี้ยทีหลังก็ยังไม่สายครับ (Hybrid Method)
คาถาเรียกเงินคืน รีไฟแนนซ์ (Refinance) และ รีเทนชั่น (Retention)
สำหรับคนที่มี "หนี้บ้าน" หรือ "หนี้รถ" นี่คือจุดที่คุณต้องโฟกัสครับ เพราะหนี้ก้อนนี้มักจะเป็นก้อนที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต การลดดอกเบี้ยได้แม้แต่ 1% มันหมายถึงเงินที่คุณประหยัดได้ "หลักแสนบาท" ในระยะยาวครับ
ความแตกต่างที่ต้องรู้
- Refinance (รีไฟแนนซ์) คือการ "ย้ายค่าย" เอาหนี้ไปฝากไว้กับธนาคารใหม่ที่ให้ดอกเบี้ยถูกกว่า เหมือนย้ายค่ายมือถือโปรย้ายค่ายนั่นแหละครับ
- Retention (รีเทนชั่น) คือการ "ขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม" เดินเข้าไปบอกเขาตรงๆ เลยครับว่า "ผ่อนมาครบ 3 ปีแล้ว ขอลดดอกเบี้ยหน่อย ถ้าไม่ลด ฉันจะย้ายค่ายนะ" (ธนาคารส่วนใหญ่มักจะยอมลดให้ครับ เพราะไม่อยากเสียลูกค้าดีๆ ไป)
ทำไมต้องทำ? พลังของดอกเบี้ยทบต้น
นักคณิตศาสตร์การเงินและสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง TTB และ Refinn ยืนยันตรงกันครับว่า การรีไฟแนนซ์บ้านทุกๆ 3 ปี (โดยคงยอดผ่อนเท่าเดิม) สามารถช่วยให้คุณผ่อนบ้านหมดเร็วขึ้นได้เกือบ 10 ปี! และประหยัดดอกเบี้ยได้เป็นล้านบาท โดยที่คุณผ่อนค่างวดเท่าเดิม เพราะเงินค่างวดที่จ่ายไป จะถูกนำไปตัด "เงินต้น" มากขึ้น แทนที่จะเอาไปถม "ดอกเบี้ย" ให้ธนาคารฟรีๆ
ใครผ่อนบ้านครบ 3 ปีแล้ว สัปดาห์นี้ให้รีบโทรหาธนาคารเจ้าหนี้ทันทีครับ ถามคำเดียวสั้นๆ ว่า "มีโปรโมชั่น Retention ไหม?" แค่ประโยคเดียวนี้ อาจช่วยกู้เงินคืนเข้ากระเป๋าคุณได้มหาศาลครับ
ไม้ตายสุดท้าย เมื่อหลังพิงฝา... จงกล้า ทุบหม้อข้าว เจรจาหนี้ (Haircut)
สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า "พี่ครับ... แค่ขั้นต่ำผมยังไม่มีปัญญาจ่ายเลย Snowball อะไรนั่นฝันไปเถอะ" ถ้าคุณกำลังอยู่ในสภาวะ "หนี้เสีย" (NPL - Non-Performing Loan) หรือค้างชำระเกิน 90 วัน จนมีจดหมายทวงหนี้สีแดงๆ ส่งมาขู่ที่หน้าบ้าน อย่าเพิ่งคิดสั้นหรือหนีไปบวชนะครับ! เพราะในวงการบริหารหนี้เสีย เขามีเทคนิคลับสุดยอดที่เรียกว่า "Haircut" (การขอลดหนี้แบบปิดบัญชี) [อ้างอิง ธนาคารแห่งประเทศไทย (SAM)]
ความลับที่เจ้าหนี้ไม่อยากบอกคุณ
ธนาคารกลัวที่สุดคือการที่คุณ "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" ครับ เพราะถ้าเขาฟ้องศาล เขาต้องเสียค่าทนาย เสียเวลา และอาจจะได้คืนแค่กระดาษเปล่าๆ (ถ้าคุณไม่มีทรัพย์สินให้ยึด) ดังนั้น ถ้าคุณเดินเข้าไปคุยกับเขาดีๆ ว่า "ผมอยากจ่ายคืนนะ แต่ผมมีเงินก้อนเดียวแค่นี้... ถ้าพี่ยอมลดให้ 50% ผมจ่ายโปะให้จบเลยวันนี้ เอาไหม?"เชื่อหรือไม่ครับว่า เจ้าหนี้ส่วนมาก "ยอม" ครับ! นี่คือการทำ Haircut ซึ่งบางเคสสามารถลดหนี้จาก 100,000 บาท เหลือแค่ 50,000-60,000 บาทได้เลย (ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละแบงก์และการเจรจา)
แต่ช้าก่อน! นี่คือ "ปุ่มนิวเคลียร์" ที่ต้องแลกด้วยเลือด
ผู้เชี่ยวชาญจากคลินิกแก้หนี้ (SAM) เตือนไว้ชัดเจนครับว่า วิธีนี้ไม่ได้ได้มาฟรีๆ คุณต้องแลกด้วย 2 สิ่ง
- เครดิตบูโรพังพินาศ ประวัติการเงินของคุณจะขึ้นสถานะ "ค้างชำระ/ปรับปรุงโครงสร้างหนี้" ทันที คุณจะกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือทำบัตรเครดิตไม่ได้เลยไปอีกอย่างน้อย 3 ปี (ติด Blacklist)
- ต้องมีเงินก้อน คุณต้องมีเงินสดก้อนใหญ่ (ที่ไปหามาหรือเก็บมา) เพื่อไปวางโปะตอนเจรจา ถ้าไม่มีเงินก้อน เขาไม่คุยด้วยครับ
สรุป วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ "ไม่ไหวแล้วจริงๆ" และพร้อมจะยอมสละเครดิตตัวเองเพื่อแลกกับอิสรภาพครับ ถ้าคุณยังพอจ่ายไหว อย่าใช้วิธีนี้เด็ดขาด!
วินาทีแห่งอิสรภาพ รสชาติของอากาศที่ไร้หนี้
ลองหลับตาแล้วจินตนาการถึงวินาทีนี้ดูนะครับ... วันที่คุณโอนเงินงวดสุดท้ายเข้าไปที่บัญชีเจ้าหนี้... หน้าจอแอปธนาคารขึ้นข้อความว่า "ทำรายการสำเร็จ"... และยอดหนี้คงเหลือเปลี่ยนจากตัวเลขยาวเหยียด กลายเป็น "0.00 บาท" เอาจริงๆ นะครับ วินาทีนั้นคุณอาจจะไม่ได้กระโดดโลดเต้นเหมือนในหนัง แต่คุณจะรู้สึก "เบาหวิว" เหมือนตัวจะลอยได้ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก แต่มันคือความรู้สึกของการได้ "ชีวิตของตัวเองคืนมา"
โซ่ตรวนที่มองไม่เห็นที่ล่ามขาคุณมาตลอดหลายปี บัดนี้มันขาดสะบั้นลงแล้ว คุณตื่นเช้ามาทำงาน ไม่ใช่เพื่อหาเงินให้คนอื่นอีกต่อไป แต่ทุกบาททุกสตางค์ที่คุณหาได้ "มันเป็นของคุณ" จริงๆ 100% กาแฟที่คุณกินจะอร่อยขึ้น เตียงนอนจะนุ่มขึ้น และคุณจะเดินเชิดหน้ามองฟ้าได้อย่างภาคภูมิใจที่สุด นี่แหละครับคือรางวัลของคนที่กัดฟันสู้จนชนะสงคราม
คำเตือนสุดท้าย ระวัง "ปีศาจโยโย่" (Debt Yo-Yo Effect)
ชัยชนะในวันนี้ไม่ได้การันตีว่าคุณจะรอดตลอดไปนะครับ มีสถิติที่น่าตกใจระบุว่า "คนส่วนใหญ่ที่ปลดหนี้ได้ จะกลับมาเป็นหนี้ใหม่อีกครั้งภายในระยะเวลาสั้นๆ" เพราะอะไรครับ? เพราะความ "ย่ามใจ" ครับ พอตัวเบาปุ๊บ กิเลสตัวเดิมๆ มันจะเริ่มกลับมาสะกิด "เฮ้ย! หนี้หมดแล้ว รูดบัตรซื้อของฉลองหน่อยไหม?" หรือ "ผ่อนรถคันใหม่ได้แล้วมั้ง" ถ้าคุณเผลอใจอ่อนแม้แต่นิดเดียว คุณจะกลับไปวนลูปนรกเดิมทันที ดังนั้น ผมขอให้เพื่อนๆ ให้คำสัตย์ปฏิญาณกับตัวเองเดี๋ยวนี้เลยครับว่า
"ชาตินี้ฉันจะไม่ยอมกลับไปเป็นทาสดอกเบี้ยเพื่อซื้อของไร้สาระอีกเด็ดขาด!"
ถ้าจะกู้ครั้งต่อไป ต้องเป็น "หนี้ดี" (Good Debt) เพื่อการลงทุนที่สร้างรายได้เท่านั้น จำความเจ็บปวดในวันที่กินมาม่าประทังชีวิตไว้ให้แม่นครับ แล้วใช้มันเป็นเครื่องเตือนใจตลอดกาล
สถานีต่อไป จาก "ติดลบ" สู่ "ร้อยล้าน"
ยินดีด้วยครับ! ตอนนี้คุณผ่านด่านที่โหดหินที่สุดมาได้แล้ว
สถานะการเงินของคุณตอนนี้คือ "ศูนย์" (Zero)... ใช่ครับ ฟังดูน้อย แต่สำหรับคนที่เคย "ติดลบ" มาทั้งชีวิต การมายืนที่จุดศูนย์ได้ มันคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากครับ และเมื่อกราฟชีวิตของคุณพ้นขีดแดงขึ้นมาแล้ว... ใน Start Again EP.5 (เร็วๆ นี้) ผมจะพาเพื่อนๆ ไปติดปีกครับ! เราจะไปเรียนรู้วิธี "เปลี่ยนเงินออม ให้กลายเป็นเครื่องจักรผลิตเงิน" กันครับ
- เราจะไปรู้จักกับ "การลงทุน" ฉบับคนกลัวเจ๊ง
- การสร้าง Passive Income ที่ไม่ใช่แค่คำขายฝัน
- และโรดแมปสู่การมี อิสรภาพทางการเงิน (Financial Freedom) ของจริง!
การบ้านเปลี่ยนชีวิต (ทำทันที ห้ามเดี๋ยว!)
อย่าเพิ่งปิดบทความแล้วนอนไถมือถือต่อนะครับ! ความรู้ที่ไม่ได้ใช้ มีค่าเท่ากับศูนย์ ผมขอสั่งภารกิจด่วนที่สุดให้คุณทำ 1 ข้อเดี๋ยวนี้ "เลือกอาวุธของคุณ (Snowball หรือ Avalanche) แล้วโอนเงินโปะหนี้ก้อนแรกเพิ่มไปเลย 500 บาท!" ใช่ครับ... แค่ 500 บาท หรือ 100 บาทก็ได้ โอนตอนนี้เลย! เพื่อเป็นการ "ลั่นไกนัดแรก" ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ ทำให้ปีศาจหนี้มันรู้ว่า "กูไม่กลัวมึงแล้ว!" แล้วแคปหน้าจอการโอนนั้นเก็บไว้เป็นที่ระลึกแห่งการเริ่มต้นอิสรภาพของคุณ
แล้วเจอกันใหม่ใน EP.5 ที่ความสูงระดับเมฆครับ!





แสดงความคิดเห็น
ร่วมแบ่งปันไอเดียหรือสอบถามได้ที่นี่