จุดเริ่มต้นของการล้างไพ่
อยู่ดีๆ ผมก็ตัดสินใจกดปุ่ม Delete ลบบทความเก่าๆ ในบล็อกนี้ทิ้งจนเกลี้ยง... เกลี้ยงจริงๆ นะครับ หลายคนคงสงสัยว่า อ้าวเฮ้ย! ลบทำไม เสียดายของ จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบหรอกครับ แต่เป็นเพราะผมค้นพบความจริงบางอย่างที่น่าเจ็บปวด ผมทนแบกรับสิ่งที่ผมเรียกว่า ภาวะการเงินดัดจริต ต่อไปไม่ไหวแล้วครับ
ผมเรียกจุดนี้ว่า การล้างไพ่ หรือ The Grand Reset
ทำไมต้องล้าง เพื่อนๆ เคยสังเกตไหมครับว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราถูกกรอกหูด้วยทฤษฎีการเงินในห้องเรียนที่ดูสวยหรู ตั้งใจเรียนนะลูก จบมาจะได้เจ้าคนนายคน หรือ ประหยัดกาแฟ สิ เดี๋ยวก็รวย... ถามจริงๆ เถอะครับ ในวันที่ ค่าครองชีพ พุ่งยังกับจรวด แต่รายได้เราเดินช้าเหมือนเต่าเป็นตะคริว ทฤษฎีพวกนั้นมันเอามา จ่ายค่าไฟ ได้จริงๆ เหรอครับ? ความจริงที่โรงเรียนไม่เคยสอน และกูรูการเงิน บางคน ไม่เคยบอก คือโลกข้างนอกมันโหดร้ายกว่าในตำราเยอะครับ
มันคือสงครามปากท้องที่เราแทบไม่มีอาวุธเลย มันคือการต่อสู้กับ ดักแด้หนี้สิน หรือกับดักความอยากมีอยากได้ ที่ยิ่งดิ้น เชือกก็ยิ่งรัดแน่นจนหายใจไม่ออก ผมเจอมากับตัวครับ แม้ผมจะยังไม่มีหนี้ก้อนโต แต่ความรู้สึกของการมีเงินไม่พอใช้ มันก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน บทความนี้ไม่ใช่การบ่นระบายอารมณ์ของคนขี้แพ้นะครับ แต่นี่คือ จุดยืนใหม่ ของ LuMoo Money Story ที่ผมอยากจะแชร์ประสบการณ์จริงๆ ว่า ของจริง เขาจัดการชีวิตกันยังไง แบบไม่ต้องมานั่งโลกสวย เตรียมตัวให้พร้อมนะครับ เพราะรถไฟขบวนนี้ไม่มีเบรก และสถานีต่อไป เราจะไปขุดคุ้ย คำลวง ที่ทำให้เราจนลงโดยไม่รู้ตัวกันครับ
คำลวงจากห้องเรียน เมื่อเกรดนิยมแลกข้าวกินไม่ได้
โดยเฉพาะคำลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกเราถูกกรอกหูมาตั้งแต่จำความได้ นั่นก็คือความเชื่อที่ว่า ตั้งใจเรียน ให้เก่งๆ สอบให้ได้ เกรดเฉลี่ย สูงๆ แล้วโตขึ้นชีวิตจะสบายและ รวย เอง ผมเป็นคนหนึ่งครับที่เคยหลงเชื่อคำสอนนี้แบบหมดใจ ทุ่มเทอ่านหนังสือโต้รุ่งเพื่อแลกกับตัวเลขสวยๆ บน ใบปริญญา เพราะหวังว่ามันจะเป็นตั๋วเที่ยวเดียวไปสู่ความมั่งคั่ง แต่พอเอาเข้าจริง โลกแห่งการทำงานมันไม่ได้สวยหรูเหมือนในตำราเลยครับ วินาทีที่ผมก้าวขาออกจากรั้วมหาวิทยาลัย ผมถึงได้รู้ความจริงที่เจ็บปวดว่า เกรดนิยม ที่ผมภูมิใจนักหนา มันเอาไปแลกข้าวกินฟรีไม่ได้แม้แต่จานเดียว และที่แสบไปกว่านั้นคือ ความรู้ในห้องเรียน ที่เราท่องจำกันแทบตาย มันกลับเอามาใช้แก้ปัญหา ปากท้อง ในชีวิตจริงแทบไม่ได้เลย
โรงเรียนสอนให้เราหา พื้นที่สี่เหลี่ยม ได้แม่นยำราวจับวาง แต่กลับไม่เคยมีวิชาไหนสอนวิธีหา พื้นที่หายใจ ในวันที่ เงินเดือนชนเดือน เลยสักนิด เราถูกสอนให้ท่องจำประวัติศาสตร์สงครามโลกได้ขึ้นใจ แต่เรากลับไม่มีความรู้เรื่อง สงครามการเงิน ที่เราต้องเผชิญหน้าอยู่ทุกวันเลยแม้แต่น้อย นี่แหละครับคือจุดเริ่มต้นของความพังพินาศ เพราะเรากำลังลงสนามรบโดยที่ไม่มีอาวุธติดมือไปเลยสักชิ้นเดียว
กับดักมนุษย์เงินเดือน ที่โรงเรียนสร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว
และนี่แหละครับคือจุดเริ่มต้นของหายนะที่เรียกว่า กับดักรายได้ปานกลาง ที่ผมและหลายๆ คนติดอยู่ ยิ่งรายได้เยอะ ก็ยิ่งสร้างหนี้เยอะ ยิ่งตำแหน่งสูง ก็ยิ่งมี ภาษีสังคม สูงตามไปด้วย จนสุดท้ายเราก็วิ่งวนอยู่ในวงจรหนูถีบจักรที่ไม่มีวันจบสิ้น และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือหนี้ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคมครับ เดี๋ยวผมจะพาไปดูว่าทำไมยิ่งเราพยายามรวย เรากลับยิ่งสร้าง หนี้ที่มองไม่เห็น เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวครับ
ภาษีสังคม จ่ายแพงแค่ไหนเพื่อให้โลกจำ
หนี้ที่มองไม่เห็นที่ว่านี้ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดๆ มันก็คือ ภาษีสังคม นั่นแหละครับ บอกกันตรงๆ เลยว่าสาเหตุที่ทำให้พวกเราถังแตก ไม่ใช่เพราะเราหาเงินไม่เก่งหรอกครับ แต่เป็นเพราะเรากำลังจ่ายภาษีบ้าบอนี้ในราคาที่แพงหูฉี่อยู่ต่างหาก ผมเคยเป็นคนหนึ่งครับที่เชื่อว่า การมี ภาพลักษณ์ที่ดี คือใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ แม้ผมจะไม่ได้ใส่สูทหรูหรือมีบัตรเครดิตให้รูดปรื๊ดๆ เหมือนคนอื่น แต่ผมก็ติดกับดักของการ สร้างภาพ ในแบบของผม ไม่ว่าจะเป็นการต้องมีโทรศัพท์รุ่นใหม่ หรือต้องเช็คอินร้านกาแฟหรูๆ เพื่อให้ดูว่าชีวิตดี๊ดี ทั้งที่ความจริงแล้ว ยอดเงินในบัญชี แทบจะไม่เหลือให้กดแล้ว
มันคือค่าใช้จ่ายที่เรายอมจ่ายเพื่อให้คนอื่นยอมรับ เราซื้อของที่ไม่ได้อยากได้ เพื่อไปอวดคนที่ไม่ได้แคร์เราด้วยซ้ำ คำว่า ของมันต้องมี กลายเป็นคาถาที่ดูดเงินออกจากกระเป๋าเราไปแบบเนียนๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่า นี่คือ กับดักความรวย ที่น่ากลัวที่สุด
รายจ่ายแฝง ปลวกตัวร้ายที่กัดกินเงินในกระเป๋า
เอาจริงๆนะครับ ถ้าลองจดบันทึกดูดีๆ เราจะพบว่า รายจ่ายแฝง พวกนี้แหละครับ ที่กัดกิน สภาพคล่อง ของเราจนเหี้ยน มันเปรียบเสมือน ปลวก ตัวเล็กๆ ที่เรามองข้าม แต่รู้ตัวอีกที บ้านทั้งหลังก็พังครืนลงมาแล้ว หลายคนตกม้าตายเพราะคำว่า "แค่ไม่กี่บาทเอง" ค่ากาแฟแก้วละร้อยกว่าบาท ค่าสมาชิกแอปดูหนังที่แทบไม่ได้เปิดดู หรือค่าธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ ที่เรายอมจ่ายเพื่อความสะดวกสบาย เมื่อเอามาบวกรวมกันทั้งปี ตัวเลขมันน่าตกใจมากครับ เผลอๆ ซื้อทองได้เป็นเส้นเลยทีเดียว
เราพยายามสร้างภาพว่ารวย แต่ข้างในกลวงโบ๋ เหมือนดักแด้ที่รอวันตาย เรายอมจ่ายเงินเพื่อแลกกับ ความสุขชั่วคราว และการยอมรับจากคนอื่น โดยลืมไปว่าความมั่นคงในระยะยาวสำคัญกว่า และเมื่อเราใช้เงินเพื่อรักษาหน้าตา จนลืมรักษาท้องไส้ สิ่งที่จะตามมาก็คือความรู้สึกที่ขมขื่นที่สุดครับ
จริงๆ แล้วระบบการศึกษาถูกออกแบบมาเพื่อผลิต แรงงานชั้นดี ป้อนเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมครับ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง เศรษฐี หรือคนที่มี อิสรภาพทางการเงิน เราถูกตั้งโปรแกรมมาให้ท่องจำว่า ต้องขยันทำงานหนักเพื่อแลกเงิน แต่ไม่เคยมีวิชาไหนสอนให้เรารู้จักวิธีใช้ เงินทำงาน แทนเรา หรือสอนเรื่องภาษีและการสร้างเครดิตซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของคนรวย สุดท้ายคือ เรากลายเป็นคนที่ หาเงินเก่ง ตามสายอาชีพที่เรียนมา ไม่ว่าจะเป็นหมอ วิศวกร หรือพนักงานออฟฟิศ แต่กลับ บริหารเงิน ห่วยแตก เราแก้สมการยากๆ ได้ แต่เราแก้ปัญหาปากท้องไม่ได้ เพราะเราไม่เคยรู้กลไกของมันจริงๆ เราจึงก้มหน้าก้มตาทำงานหนักเพื่อรอเงินเดือนออก แล้วก็ใช้มันไปกับการผ่อนสินค้าและหนี้สินที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
และนี่แหละครับคือจุดเริ่มต้นของหายนะที่เรียกว่า กับดักรายได้ปานกลาง ที่ผมและหลายๆ คนติดอยู่ ยิ่งรายได้เยอะ ก็ยิ่งสร้างหนี้เยอะ ยิ่งตำแหน่งสูง ก็ยิ่งมี ภาษีสังคม สูงตามไปด้วย จนสุดท้ายเราก็วิ่งวนอยู่ในวงจรหนูถีบจักรที่ไม่มีวันจบสิ้น และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือหนี้ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคมครับ เดี๋ยวผมจะพาไปดูว่าทำไมยิ่งเราพยายามรวย เรากลับยิ่งสร้าง หนี้ที่มองไม่เห็น เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวครับ
ภาษีสังคม จ่ายแพงแค่ไหนเพื่อให้โลกจำ
หนี้ที่มองไม่เห็นที่ว่านี้ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดๆ มันก็คือ ภาษีสังคม นั่นแหละครับ บอกกันตรงๆ เลยว่าสาเหตุที่ทำให้พวกเราถังแตก ไม่ใช่เพราะเราหาเงินไม่เก่งหรอกครับ แต่เป็นเพราะเรากำลังจ่ายภาษีบ้าบอนี้ในราคาที่แพงหูฉี่อยู่ต่างหาก ผมเคยเป็นคนหนึ่งครับที่เชื่อว่า การมี ภาพลักษณ์ที่ดี คือใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ แม้ผมจะไม่ได้ใส่สูทหรูหรือมีบัตรเครดิตให้รูดปรื๊ดๆ เหมือนคนอื่น แต่ผมก็ติดกับดักของการ สร้างภาพ ในแบบของผม ไม่ว่าจะเป็นการต้องมีโทรศัพท์รุ่นใหม่ หรือต้องเช็คอินร้านกาแฟหรูๆ เพื่อให้ดูว่าชีวิตดี๊ดี ทั้งที่ความจริงแล้ว ยอดเงินในบัญชี แทบจะไม่เหลือให้กดแล้ว
มันคือค่าใช้จ่ายที่เรายอมจ่ายเพื่อให้คนอื่นยอมรับ เราซื้อของที่ไม่ได้อยากได้ เพื่อไปอวดคนที่ไม่ได้แคร์เราด้วยซ้ำ คำว่า ของมันต้องมี กลายเป็นคาถาที่ดูดเงินออกจากกระเป๋าเราไปแบบเนียนๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่า นี่คือ กับดักความรวย ที่น่ากลัวที่สุด
รายจ่ายแฝง ปลวกตัวร้ายที่กัดกินเงินในกระเป๋า
เอาจริงๆนะครับ ถ้าลองจดบันทึกดูดีๆ เราจะพบว่า รายจ่ายแฝง พวกนี้แหละครับ ที่กัดกิน สภาพคล่อง ของเราจนเหี้ยน มันเปรียบเสมือน ปลวก ตัวเล็กๆ ที่เรามองข้าม แต่รู้ตัวอีกที บ้านทั้งหลังก็พังครืนลงมาแล้ว หลายคนตกม้าตายเพราะคำว่า "แค่ไม่กี่บาทเอง" ค่ากาแฟแก้วละร้อยกว่าบาท ค่าสมาชิกแอปดูหนังที่แทบไม่ได้เปิดดู หรือค่าธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ ที่เรายอมจ่ายเพื่อความสะดวกสบาย เมื่อเอามาบวกรวมกันทั้งปี ตัวเลขมันน่าตกใจมากครับ เผลอๆ ซื้อทองได้เป็นเส้นเลยทีเดียว
เราพยายามสร้างภาพว่ารวย แต่ข้างในกลวงโบ๋ เหมือนดักแด้ที่รอวันตาย เรายอมจ่ายเงินเพื่อแลกกับ ความสุขชั่วคราว และการยอมรับจากคนอื่น โดยลืมไปว่าความมั่นคงในระยะยาวสำคัญกว่า และเมื่อเราใช้เงินเพื่อรักษาหน้าตา จนลืมรักษาท้องไส้ สิ่งที่จะตามมาก็คือความรู้สึกที่ขมขื่นที่สุดครับ
รสชาติความจน กลิ่นมาม่าที่ไม่ได้หอมเหมือนในโฆษณา
เรายอมแลก สภาพคล่อง และความมั่นคงทั้งเดือน เพียงเพื่อแลกกับความสุขจอมปลอมชั่วคราว และยอดไลก์แค่ไม่กี่นาที สุดท้ายสิ่งที่เราต้องแบกรับจริงๆ ไม่ใช่แค่ความหิวโหยทางกาย แต่มันคือ ความวิตกกังวล ที่เกาะกินหัวใจทุกครั้งที่เห็นบิลแจ้งค่าใช้จ่าย หรือทุกครั้งที่เงินใกล้หมดกระเป๋า ความรู้สึกของการ อดมื้อกินมื้อ หรือต้องคำนวณเงินทุกบาททุกสตางค์ก่อนจะซื้อน้ำเปล่าสักขวด นี่แหละครับคือ รสชาติชีวิต จริงๆ ที่ไม่มีโรงเรียนไหนสอน และมันเจ็บปวดกว่าการสอบตกหลายเท่าตัวนัก แต่เชื่อไหมครับว่าในความมืดมิดนี้ ยังมีบทเรียนสำคัญซ่อนอยู่ ถ้าเรากล้าที่จะเปิดตามองมันครับ
นักล่าในคราบโปรโมชั่น เมื่อของลดราคาคือกับดัก
แม้ผมจะโชคดีที่ไม่มีหนี้สินรุงรังกับธนาคาร แต่เชื่อไหมครับว่าผมก็ยังตกเป็นเหยื่อของ นักล่า อีกกลุ่มหนึ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กัน นั่นคือบรรดา นักการตลาด ที่มาพร้อมกับอาวุธร้ายแรงอย่าง โปรโมชั่น และ ป้ายลดราคา ครับ คนกลุ่มนี้ รู้จุดอ่อนของเราดีที่สุดครับ ในวันที่เราเครียด เราท้อ เรามักจะมองหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ จากการช้อปปิ้ง และนั่นคือจังหวะที่เขาจู่โจมด้วยคำว่า Flash Sale, ลดล้างสต็อก หรือ นาทีทอง เราอาจจะรู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะที่แย่งชิงของถูกมาได้ แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือ กับดัก ที่ทำให้เงินสดก้อนสุดท้ายในกระเป๋าเราหายวับไปกับตา
เรามักจะหลอกตัวเองว่า ซื้อตุนไว้ก่อน เดี๋ยวก็ได้ใช้ หรือ ของมันคุ้มมาก พลาดแล้วจะเสียใจ แต่ความจริงคือ เรากำลังเอา สภาพคล่อง ที่สำคัญยิ่งชีพ ไปแลกกับข้าวของที่กองพะเนินเต็มห้องโดยไม่ได้สร้างรายได้กลับมาเลย นี่แหละครับคือ ความคุ้มค่าจอมปลอม ที่ดูดเงินเราออกไปเงียบๆ จนรู้ตัวอีกที... ก็ไม่มีเงินกินข้าวแล้ว วินาทีที่ผมตระหนักได้ว่า ผมกำลังตกเป็นเหยื่อของระบบทุนนิยมที่กระตุ้นให้เรา เสพติดการจ่าย ผมก็เริ่ม ตื่นรู้ และบอกตัวเองหน้ากระจกดังๆ ว่า พอสักที!
จุดเปลี่ยนชีวิต เลิกโทษโชคชะตา แล้วหันมาด่าตัวเอง
วินาทีที่ผมตะโกนใส่หน้ากระจกบอกตัวเองว่า พอสักที มันคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเลยครับ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเอาแต่โทษฟ้า โทษฝน โทษรัฐบาล โทษเศรษฐกิจ หรือแม้แต่โทษพ่อแม่ที่ไม่ได้รวยเหมือนคนอื่น แต่ผมลืมโทษคนคนหนึ่ง... นั่นคือ ตัวผมเอง การ เลิกโทษโชคชะตา แล้วหันมา ด่าตัวเอง อาจจะฟังดูซาดิสม์นะครับ แต่มันคือยาแรงที่ทำให้ผมตาสว่าง ผมเริ่มยอมรับความจริงว่า ปัญหาการเงินที่ฝืดเคืองนี้ผมเป็นคนก่อ เงินที่ไม่มีเก็บก็เพราะผมใช้มันเอง
ดังนั้น คนที่จะแก้มันได้ ก็มีแค่ผมคนเดียว วินาทีนั้นผมเปลี่ยนจาก ผู้ถูกกระทำ ที่รอความช่วยเหลือ มาเป็น ผู้กระทำ ที่กำหนดชะตาชีวิตตัวเองทันที ผมเลิกหวังน้ำบ่อหน้า เลิกหวังหวยงวดหน้า แล้วเริ่มลงมือ รับผิดชอบ ชีวิตตัวเองแบบ 100% พอเรา เปลี่ยน Mindset ได้ วิธีการมันก็จะตามมาเองครับ และวิธีการแรกที่ผมทำ ไม่ใช่การไปหางานทำเพิ่มทันที แต่คือการโยนทฤษฎีสวยหรูทิ้งไป แล้วหันมาเรียนรู้ วิชาข้างถนน หรือ Street Smart ที่เน้นผลลัพธ์จริงๆ ครับ
วิชาที่ 1 กระแสเงินสดสำคัญกว่าความรวย
วิชาแรกที่ผมเรียนรู้คือเรื่อง กระแสเงินสด ครับ ลืมคำว่า งบดุล หรือ กำไรขาดทุน ในตำราไปก่อนเลย นาทีนี้สิ่งที่ต้องโฟกัสมีแค่อย่างเดียวคือ ทำยังไงให้มี เงินสด หมุนเวียนพอใช้ชนเดือนโดยไม่ติดลบ ผมเรียนรู้ว่า เงินสดเปรียบเสมือน ออกซิเจน ของชีวิตครับ เราอาจจะไม่มีข้าวกินได้หลายวัน แต่ถ้าขาดออกซิเจนเมื่อไหร่คือตายเมื่อนั้น เช่นกันครับ เราอาจจะยังไม่รวยวันนี้ได้ แต่ถ้าวันไหนขาด สภาพคล่อง ไม่มีเงินสดติดกระเป๋า วันนั้นชีวิตพังทันทีครับ กฎเหล็กข้อแรกของวิชาข้างถนนคือ ห้ามขาดสภาพคล่องเด็ดขาด หลายคน ตายน้ำตื้น เพราะมีทรัพย์สินเยอะ แต่แปลงเป็นเงินสดไม่ได้ทันเวลา หรือมัวแต่ไปลงทุนระยะยาวจนไม่มีกินวันนี้ ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องกินข้าวไข่เจียวทั้งเดือนเพื่อให้มีเงินสดเหลือติดบัญชี ก็ต้องยอมทำครับ เพื่อรักษาลมหายใจทางการเงินของเราไว้ก่อนวิชาที่ 2 การอุดรอยรั่วเล็กๆ ที่ทำเรือล่ม
วิชาที่สองคือ การอุดรอยรั่ว ครับ เชื่อไหมครับว่าเรามักจะตกม้าตายเพราะรายจ่ายเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองข้าม อย่างค่าสมาชิกแอปฯ ที่ไม่ได้ดู ค่ากาแฟแบรนด์ดัง หรือของกินจุกจิก ที่รวมๆ กันแล้วอาจจะมากกว่าค่าข้าวทั้งเดือนด้วยซ้ำ
การทำ บัญชีรายรับรายจ่าย แบบบ้านๆ นี่แหละครับคือกระจกวิเศษที่จะสะท้อนให้เห็นความจริงว่า เงินเราหายไปไหนหมด เมื่อเราเห็นตัวเลขแล้ว เราจะตกใจเลยครับว่าเราเสียเงินไปกับเรื่องไร้สาระเยอะแค่ไหน เมื่อเห็น รูรั่ว แล้ว หน้าที่ของเราคือต้องอุดมันทันทีครับ ก่อนที่เรือลำนี้จะจมเพราะรูรั่วเล็กๆ เหล่านี้ครับ
กฎ 30 วัน คาถากันผีผลักให้รูดซื้อ
เทคนิคง่ายๆ ที่ผมใช้แล้วได้ผลชะงัดนัก คือการใช้ กฎ 30 วัน เข้ามาจัดการกับกิเลสครับ วิธีการก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเกิดความรู้สึกอยากได้ของชิ้นใหญ่ๆ หรือของฟุ่มเฟือย ให้เรา ชะลอการตัดสินใจ ออกไปก่อน 30 วันครับ ห้ามซื้อเดี๋ยวนั้นเด็ดขาด เชื่อผมเถอะ พอเวลาผ่านไปสักพัก ความอยากได้ที่เคยพุ่งพล่านจนหน้ามืดตามัว มันจะค่อยๆ ลดลงจนหายไปเองครับ เกือบ 80% ของของที่เราอยากได้ในตอนแรก พอผ่านไป 30 วัน เราจะเริ่มรู้สึกเฉยๆ กับมัน หรือบางทีอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยอยากได้ วิธีนี้ช่วยให้เราแยกแยะได้ชัดเจนเลยครับว่า อันไหนคือ ความจำเป็น หรือ Need และอันไหนคือ ความต้องการ หรือ Want ที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ การมี สติ ก่อนควักกระเป๋าจ่ายเงิน คือปราการด่านสำคัญที่จะช่วยรักษาเงินในกระเป๋าเราไม่ให้รั่วไหลไปกับสิ่งของไร้สาระครับ
วิชาที่ 3 หารายได้เพิ่ม อย่าเพิ่งฝันถึง Passive Income
และวิชาที่สามคือ การหารายได้เพิ่ม แบบทันที อย่าเพิ่งไปฝันหวานถึง Passive Income หรือให้เงินทำงานในตอนที่ยังไม่มีจะกินครับ นาทีนี้ต้องใช้ Active Income หรือเอาแรงแลกเงินเท่านั้น อะไรที่ทำแล้วได้เงินสดทันที ต้องทำหมดครับสำหรับคนที่สภาพคล่องตึงมือ ผมแนะนำให้มองหา อาชีพเสริม ที่ใช้ทักษะที่เรามีอยู่แล้ว หรือขายของที่ไม่ได้ใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดมาหมุนเวียนก่อน อย่าอายทำกินครับ เพราะ ความอาย มันกินไม่ได้ แต่เงินสดต่างหากที่ซื้อข้าวกินได้ การมีรายได้หลายทาง ไม่ใช่ทางเลือกครับ แต่มันคือ ทางรอด ในยุคนี้ การรอเงินเดือนทางเดียวก็เหมือนยืนขาเดียว ถ้าล้มมาก็เจ็บหนัก แต่ถ้าเรามีขาสอง ขาสาม เราจะยืนได้มั่นคงขึ้น เพื่อ เติมเลือด ให้กระเป๋าตังค์เรากลับมาหายใจได้อีกครั้งครับ
ห้ามเลือดด่วน ตัดวงจรกิเลสด้วยการลบแอป
พูดถึงเรื่องการหารายได้เพื่อเติมเลือดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปทันทีหลังจากอ่านบทความนี้จบ ไม่ใช่การไปหาเงินกู้เพิ่มนะครับ แต่คือการ ตัดวงจรกิเลส โดยเด็ดขาด ในยุคนี้ศัตรูตัวฉกาจของเงินเก็บไม่ใช่โจรปล้นบ้าน แต่เป็น แอปช้อปปิ้ง ในมือถือของเรานี่แหละครับ ผมขอแนะนำวิธีหักดิบที่ได้ผลที่สุด คือการ ลบมันทิ้ง ไปก่อนครับ ลบให้เกลี้ยงทั้งแอปสั่งของ แอปสั่งอาหารที่ทำให้เราเคยตัว รวมถึงการเลิกติดตามเพจ ป้ายยา หรือเพจแจ้งข่าว ของลดราคา ทั้งหลาย เพราะถ้าขืนยังปล่อยให้สิ่งยั่วยุพวกนี้ลอยหน้าลอยตา ส่งแจ้งเตือนเด้งมาหาเราทุกวัน เงินในกระเป๋าเราไม่มีวันเหลือเก็บแน่นอนครับ การตัดช่องทางเสียเงิน คือการ ห้ามเลือด ทางการเงินที่ได้ผลเร็วที่สุด และทำได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เงินสักบาทครับ
ความผิดพลาดคือครูที่ค่าตัวแพงที่สุด
น่าเสียดาย ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมอยากจะรู้วิชาพวกนี้เร็วกว่านี้สัก 10 ปี ชีวิตผมคงไม่พังแบบนี้ แต่ในเมื่อย้อนเวลาไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือการ เรียนรู้จากความผิดพลาด ครับ ผมเคยนั่งเสียดายเงินและเวลาที่ผ่านไป แต่มานั่งคิดดูอีกที ถ้าผมไม่เจ็บหนักในวันนั้น ผมคงไม่มีทาง ตาสว่าง ในวันนี้ ความผิดพลาดมันเป็นครูที่โหดร้ายครับ เพราะมันมักจะให้เราทำ บททดสอบ ก่อน แล้วค่อยสอน บทเรียน ทีหลัง และค่าหน่วยกิตของมันก็แพงหูฉี่ ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยบัตรเครดิต หรือเงินเก็บที่หายวับไปกับตา แต่ผมมองว่ามันคือ ค่าวิชา ครับ เป็นค่าวิชาที่แลกมาด้วยความเจ็บปวด เพื่อให้เราจดจำไปตลอดชีวิตว่า ความจน มันน่ากลัวแค่ไหน และเราจะไม่มีวันกลับไปจุดนั้นอีก ผมไม่อยากให้เพื่อนๆ ต้องมาจ่ายค่าวิชาแพงๆ แบบผม ผมเลยตั้งใจจะเอาประสบการณ์ เจ็บจริง เหล่านี้ มาแชร์ให้ทุกคนได้อ่าน เพื่อเป็นทางลัดให้เพื่อนๆ ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกด้วยตัวเองครับ
พันธกิจใหม่ แฉความจริงเรื่องเงินแบบไม่มีกั๊ก
ผมไม่อยากให้เพื่อนๆ ต้องมาจ่ายค่าวิชาแพงๆ แบบผม ผมเลยตั้งใจจะเอาประสบการณ์ เจ็บจริง เหล่านี้ มาแชร์ให้ทุกคนได้อ่าน เพื่อเป็น ทางลัด ให้เพื่อนๆ ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกด้วยตัวเองครับ ในบล็อกโฉมใหม่นี้ ผมจะเขียน ซีรีส์การเงิน ที่เน้นเนื้อหาแบบเนื้อๆ เน้นๆ โดยเฉพาะเรื่อง การหารายได้เสริม ที่ไม่ใช่การ ขายฝัน ประเภททำงานวันละ 2 ชั่วโมงแล้วรวยเป็นล้าน แต่จะเป็นวิธีการ ลงมือทำ ที่ผมพิสูจน์มาแล้วว่ามันเลี้ยงปากท้องได้จริงในยุคนี้ รวมถึงเรื่อง จิตวิทยาการเงิน ที่จะช่วย ดัดนิสัย การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของเราให้หายขาด เพราะผมเชื่อว่า ต่อให้เราหาเงินได้มากแค่ไหน ถ้าเราแก้สันดานการใช้เงินไม่ได้ สุดท้ายมันก็หมดอยู่ดีครับ ที่นี่จะไม่มีทฤษฎีสวยหรู มีแต่วิธีการดิบๆ ที่ใช้ได้จริงครับ
ความจริงที่เจ็บปวด ไม่มีทางลัดสู่ความรวย
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะเตือนสติเพื่อนๆ ทุกคนไว้ก่อนเลยครับว่า เส้นทางสู่การมีชีวิตใหม่และการกอบกู้สถานะทางการเงินกลับมา มันไม่ใช่ถนนลาดยางเรียบๆ แต่มันคือ ทางวิบาก ที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อและขวากหนาม ใครที่กำลังมองหา ทางลัด หรือสูตรสำเร็จที่ทำปุ๊บแล้วรวยปั๊บ ผมบอกเลยว่าไม่มีอยู่จริงครับ มันเหมือนการลดความอ้วนแหละครับ ไม่มีหรอกยาวิเศษที่กินแล้วผอมเลย มีแต่ต้องคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างหนักเท่านั้น การเงินก็เหมือนกันครับ ต้องอาศัย วินัย และ ความอดทน อย่างมหาศาล เลิกเชื่อเรื่อง ความสำเร็จชั่วข้ามคืน ที่เห็นในโซเชียลเถอะครับ เบื้องหลังภาพสวยหรูพวกนั้น คือการทำงานหนักจนเลือดตาแทบกระเด็นทั้งนั้น ถ้าคุณอยากได้ผลลัพธ์ที่เป็น ของจริง คุณต้องพร้อมที่จะแลกด้วยหยาดเหงื่อและเวลาครับ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ในโลกใบนี้ครับ
ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับบทต่อไป
ดังนั้น ผมขอท้าให้เพื่อนๆ ทุกคนลุกขึ้นมา เปลี่ยนแปลง ตัวเองตั้งแต่วันนี้ครับ อย่ารอให้พร้อม เพราะความพร้อมไม่มีอยู่จริง มีแต่ต้อง ลงมือทำ ทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมนี่แหละครับ การเริ่มต้นใหม่อาจจะดูน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือการย่ำอยู่กับที่และจมอยู่กับปัญหาเดิมๆ ไปตลอดชีวิต จงรวบรวม ความกล้า แล้วก้าวออกมาจาก Comfort Zone จอมปลอมนั้นซะ ในบทความหน้า หรือ EP.2 ผมจะพาเพื่อนๆ ไปเจาะลึกเรื่อง กับดักรายได้ ที่หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าแค่หาเงินได้เยอะแล้วจะรวย แต่ความจริงคือยิ่งหาได้เยอะ ยิ่งจนลง ถ้าไม่รู้วิธีจัดการกับมัน เตรียมสมุดปากกาไว้จดเทคนิคกันได้เลยครับ เพราะเนื้อหาจะเข้มข้นและเจาะลึกกว่าเดิมแน่นอนครับ
สัญญาลูกผู้ชาย เราจะสู้ไปด้วยกัน
ก่อนจะจากกันใน EP นี้ ผมอยากขอ พันธสัญญา จากเพื่อนๆ สักข้อครับ ไม่ต้องสัญญากับผมหรอกครับ แต่ให้สัญญากับ ตัวคุณเอง ว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเลิกใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เลิกหลอกตัวเองด้วยภาพลวงตา และหันมาสร้าง ความมั่งคั่ง ที่แท้จริงด้วยสองมือของเราเอง
ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยน ผมอยากให้ช่วยพิมพ์คอมเมนต์คำว่า Start Again ไว้ข้างล่างบทความนี้หน่อยครับ เพื่อเป็นการประกาศเจตนารมณ์ให้โลกรู้ว่า เราเอาจริง และเพื่อเป็นกำลังใจให้ผมรู้ว่า ผมไม่ได้สู้เรื่องนี้อยู่คนเดียว ที่นี่ไม่ใช่แค่บล็อกให้ความรู้ครับ แต่ผมอยากสร้างให้เป็น คอมมูนิตี้ ของคนตัวเล็กๆ ที่อยากลืมตาอ้าปากได้ เราจะแลกเปลี่ยนความรู้ แชร์ประสบการณ์ และคอยพยุงกันในวันที่ใครสักคนล้มลง เพราะผมเชื่อเสมอว่า พลังของกลุ่ม จะพาเราไปได้ไกลกว่าการเดินคนเดียวครับ เราจะสู้ไปด้วยกันจนกว่าจะถึงวันที่เรามีอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริงครับ
บทสรุปของการเริ่มต้นใหม่
ด้วยความปรารถนาดี
LuMoo Money Story
เก็บไว้ในรายการโปรด
แสดงความคิดเห็น
ร่วมแบ่งปันไอเดียหรือสอบถามได้ที่นี่