บทนำ เมื่อสมองของคุณ... คือศัตรูทางการเงินที่น่ากลัวที่สุด
เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมครับ? ทำไมเพื่อนบางคนที่เรียนเก่งระดับเกียรตินิยม เป็นวิศวกร หรือเป็นหมอ หาเงินได้เดือนละเป็นแสน... แต่กลับมีเงินเก็บน้อยกว่าแม่ค้าขายข้าวแกงหน้าปากซอย? หรือทำไมตัวเราเองที่วางแผนการเงินมาดิบดี พอถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน กลับตัดสินใจผิดพลาดแบบ "อิหยังวะ" จนมานั่งเสียดายทีหลัง? คำตอบไม่ได้อยู่ที่ "ความรู้" ครับ แต่อยู่ที่ "พฤติกรรม" (Behavior) ในวิชาเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม เขาบอกว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล (Rational) ตัดสินใจทุกอย่างเพื่อความคุ้มค่าสูงสุดเสมอ... แต่ความจริงคือ "ไม่จริงเลยครับ!" มนุษย์เราใช้อารมณ์นำทาง 90% และใช้เหตุผลแค่ 10% เพื่อมาหาข้ออ้างสนับสนุนอารมณ์นั้นต่างหาก วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปกะเทาะเปลือกสมอง ดู "4 บั๊ก (Bug)" หรือข้อผิดพลาดทางจิตวิทยาที่ฝังอยู่ใน DNA ของเรา ซึ่งคอยขัดขาไม่ให้เรารวยสักที ถ้าคุณรู้ทันมัน คุณจะชนะเกมการเงินได้ง่ายขึ้นแบบผิดหูผิดตาครับ!
กับดักที่ 1: บัญชีในใจ (Mental Accounting)
ทำไมเงินโบนัส ถึงหมดไวกว่าเงินเดือน?
เงิน 1 บาท ไม่เท่ากับ 1 บาทเสมอไป
สมมติสถานการณ์นะครับ
- คุณทำงานหนักทั้งเดือน ได้เงินเดือน 30,000 บาท
- คุณเดินไปเจอแบงก์พันตกอยู่ 1 ใบ หรือถูกหวยเลขท้าย 2,000 บาท
ถามใจตัวเองดูครับ... คุณจะใช้เงินก้อนไหนระมัดระวังกว่ากัน? ร้อยทั้งร้อยจะบอกว่า "เงินเดือน" สิครับ ส่วนเงินที่เก็บได้หรือถูกหวย... "เดี๋ยวเย็นนี้ฉลองหมูกระทะ!" นี่แหละครับคือกับดักที่เรียกว่า "Mental Accounting" หรือการแยกบัญชีในใจ สมองของเราชอบตีตรา "ที่มาของเงิน" แล้วแปะป้ายให้มันว่าเงินก้อนนี้ควรปฏิบัติยังไง
- เงินที่หามาด้วยความยากลำบาก (Hard-earned Money): สมองจะสั่งให้ "ประหยัด"
- เงินที่ได้มาฟลุ๊คๆ (Windfall Money): สมองจะสั่งว่า "เงินฟรี! ใช้โลด!"
แต่ในความเป็นจริงทางคณิตศาสตร์... เงินทุกบาทมีค่าเท่ากันครับ! แบงก์พันที่คุณเก็บได้ กับแบงก์พันที่โอนเข้าบัญชีเงินเดือน มันซื้อข้าวได้เท่ากันเป๊ะ แต่เพราะเราไปแปะป้ายว่า "เงินฟรี" เราเลยโยนมันทิ้งง่ายๆ โดยไม่เสียดาย
วิธีแก้บั๊ก
ทุกครั้งที่ได้เงินก้อนพิเศษมา (โบนัส, คืนภาษี, ถูกหวย) ให้รีบ "จับมันรวมกลุ่ม" เข้ากับเงินเก็บหลักทันทีครับ! อย่าปล่อยให้มันลอยนวลเป็น "เงินฟรี" ในบัญชีใจ บอกตัวเองว่า "นี่คือน้ำพักน้ำแรงของฉันในรูปแบบหนึ่ง" แล้วคุณจะหยุดนิสัยใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายได้ทันที
กับดักที่ 2: ต้นทุนจม (Sunk Cost Fallacy)
ทำไมเราถึงทนดูหนังห่วยๆ จนจบ?
อดีตที่ปล่อยวางไม่ได้ คืออนาคตที่เสียไป
เคยไหมครับ?
- ซื้อตั๋วหนังมา 300 บาท ดูไปได้ 20 นาทีแล้วหนังห่วยแตกมาก แต่ก็ทนนั่งดูจนจบ 2 ชั่วโมง เพราะ "เสียดายค่าตั๋ว"
- ซื้อเสื้อมาตัวละพัน ใส่แล้วไม่สวย คับก็คับ แต่ไม่กล้าบริจาคหรือทิ้ง แขวนไว้จนฝุ่นจับ เพราะ "ซื้อมาแพง"
- ถือหุ้นพื้นฐานเปลี่ยน ขาดทุนไปแล้ว 20% แต่ไม่กล้าขายทิ้ง (Cut Loss) เพราะ "เสียดายเงินที่หายไป"
นี่คือกับดักมรณะที่เรียกว่า "Sunk Cost Fallacy" หรือกับดักต้นทุนจม ครับ มันคือการที่เรายึดติดกับ "ต้นทุนในอดีต" (เงิน/เวลาที่เสียไปแล้วและเอาคืนไม่ได้) มาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจเรื่อง "อนาคต" ลองคิดด้วยตรรกะนะครับ
- คุณทนดูหนังห่วยจนจบ = คุณเสียเงิน 300 บาท (ที่เสียไปแล้ว) + เสียเวลาชีวิตอีก 2 ชั่วโมง (ฟรีๆ)
- คุณเดินออกจากโรงหนัง = คุณเสียเงิน 300 บาท (เท่าเดิม) + แต่ได้เวลา 2 ชั่วโมงไปทำอย่างอื่นที่มีความสุข
เห็นไหมครับ? ไม่ว่าคุณจะดูต่อหรือเดินออก เงิน 300 บาทมัน "จม" ไปแล้วครับ มันหายไปตั้งแต่วินาทีที่คุณจ่ายเงินแล้ว การทนทรมานต่อไปไม่ได้ช่วยให้เงินงอกกลับมา
วิธีแก้บั๊ก
ใช้เทคนิค "Zero-Based Thinking" ครับ ถามตัวเองว่า "ถ้าวันนี้ฉันยังไม่ได้ซื้อของชิ้นนี้/หุ้นตัวนี้ แล้วมีคนมาเสนอขายในราคานี้... ฉันจะซื้อไหม?"
- ถ้าคำตอบคือ "ไม่ซื้อเด็ดขาด"... แปลว่าคุณต้องขายมันทิ้ง หรือเลิกสนใจมันเดี๋ยวนี้!
- อย่าให้ "อดีตที่แก้ไขไม่ได้" มาทำลาย "โอกาสในอนาคต" ของคุณครับ การยอมรับความผิดพลาดแล้วมูฟออน คือคุณสมบัติของนักลงทุนที่ฉลาดที่สุด
กับดักที่ 3: ความกลัวความสูญเสีย (Loss Aversion)
ทำไมเราถึงทนถือหุ้นแดงได้เป็นปี... แต่รีบขายหุ้นเขียวใน 3 วัน?
ความเจ็บปวดที่มากกว่าความสุข 2 เท่า
เคยเป็นไหมครับ?
- หุ้นตก -10% (พอร์ตแดง) -> รู้สึกเครียด กินไม่ได้นอนไม่หลับ อยากจะถือรอให้มันเด้งคืน (ไม่กล้าคัท)
- หุ้นขึ้น +10% (พอร์ตเขียว) -> รู้สึกกระวนกระวาย กลัวกำไรหาย รีบกดขายทันที ("ขายหมู" เรียบร้อย)
พฤติกรรมย้อนแย้งนี้ไม่ได้เกิดเพราะคุณไม่มีความรู้ครับ แต่มันเกิดจากสิ่งที่นักจิตวิทยา Daniel Kahneman เรียกว่า "Loss Aversion" หรือความเกลียดกลัวความสูญเสีย
งานวิจัยพบว่า "ความเจ็บปวดจากการเสียเงิน 100 บาท มีความรุนแรงทางอารมณ์เป็น 2 เท่า ของความสุขที่ได้เงิน 100 บาท" เพราะสมองเราถูกออกแบบมาให้อยู่รอดครับ มันเลยให้ความสำคัญกับ "การปกป้องสิ่งที่มีอยู่" มากกว่า "การหาเพิ่ม" ผลลัพธ์ก็คือ
- ไม่กล้าขายขาดทุน (Loss Aversion): เพราะการขายคือการ "ยอมรับความจริง" ว่าเงินหายไปแล้ว เราเลยเลือกที่จะ "หลอกตัวเอง" ว่า ไม่ขายไม่ขาดทุน (ทั้งที่มูลค่ามันลดลงไปจริงๆ แล้ว)
- รีบขายทำกำไร (Fear of Regret): เพราะกลัวว่ากำไรที่มีอยู่จะหายไป เลยรีบคว้าเงินเล็กน้อยไว้ก่อน แทนที่จะปล่อยให้มันเติบโต (Let Profit Run)
วิธีแก้บั๊ก
ยาแก้โรคนี้มีชื่อว่า "ระบบ" (System) ครับ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจหน้างาน ให้ตั้งกฎเหล็กไว้ล่วงหน้าเลย เช่น
- "ถ้าหุ้นตกถึง -8% ฉันจะขายทิ้งทันทีโดยไม่ต่อรอง" (Stop Loss)
- "ฉันจะลงทุนแบบ DCA ทุกวันที่ 1 ไม่ว่าตลาดจะเป็นยังไง" (ตัดอารมณ์ออกไปเลย) การมีระบบจะช่วยล็อกคอไม่ให้ "สมองส่วนกลัว" เข้ามาบงการพอร์ตของคุณได้ครับ
กับดักที่ 4: สมอทางความคิด (Anchoring Effect)
กลลวงป้าย SALE ที่หลอกเงินคุณมาทั้งชีวิต
อย่าเชื่อตัวเลขแรกที่คุณเห็น!
สมมติคุณเดินไปเจอเสื้อตัวหนึ่ง ป้ายเขียนว่า:
❌ ~~ราคาปกติ 4,000 บาท~~
✅ ลดเหลือ 1,500 บาท!
วินาทีแรกคุณคิดอะไรครับ? "โห! ถูกจัง ลดตั้ง 60% คุ้มมาก!" แล้วมือก็หยิบไปจ่ายเงินทันที แต่เดี๋ยวก่อน... คุณรู้ได้ไงว่ามันถูก? คุณรู้ได้ไงว่าเสื้อตัวนี้ต้นทุนจริงๆ ไม่ใช่แค่ 500 บาท? นี่คืออิทธิฤทธิ์ของ "Anchoring Effect" หรือกับดักสมอทางความคิด ครับ สมองของมนุษย์มีจุดอ่อนคือ "เรามักจะยึดติดกับตัวเลขแรกที่เราเห็น (สมอ) เสมอ" ในกรณีนี้ "ราคา 4,000 บาท" คือสมอที่ผู้ขายโยนลงไปในหัวคุณ พอคุณเห็นราคา 1,500 บาท คุณเลยเปรียบเทียบกับ 4,000 แล้วรู้สึกว่ามัน "ถูก" (ทั้งที่จริง 1,500 อาจจะแพงเกินไปสำหรับคุณภาพเสื้อตัวนั้นก็ได้) กับดักนี้ไม่ได้ใช้แค่กับการช้อปปิ้งนะครับ การเจรจาเงินเดือนก็เหมือนกัน
- ถ้า HR ถามเงินเดือนเก่าคุณ (เช่น 30,000) -> นั่นคือสมอตัวแรก
- เขาเสนอให้ 35,000 คุณอาจจะดีใจแล้ว (เพราะเทียบกับ 30,000)
- ทั้งที่จริง ความสามารถคุณอาจจะมีค่าตลาดอยู่ที่ 50,000 ก็ได้!
วิธีแก้บั๊ก
เลิกมอง "ราคาตั้งต้น" (ตัวเลขที่เขาขีดทิ้ง) เดี๋ยวนี้ครับ! ให้มองหา "มูลค่าที่แท้จริง" (Real Value) แทน ถามตัวเองว่า
- "ถ้าไม่มีป้ายลดราคา แล้วเสื้อตัวนี้ขาย 1,500 บาทเพียวๆ ฉันยังจะซื้อไหม?"
- "คนอื่นๆ ในตลาด เขาขายของชิ้นนี้กันที่เท่าไหร่?" (เปรียบเทียบราคาตลาด ไม่ใช่เปรียบเทียบกับราคาป้าย)
การถอนสมอ (Anchor) ออกจากใจ จะทำให้คุณมองเห็น "ราคาจริง" ที่ซ่อนอยู่หลังป้ายการตลาดครับ
บทสรุป: รวยได้... แค่รู้ทันสมองตัวเอง
เพื่อนๆ ครับ การมีความรู้เรื่องกราฟ เรื่องงบการเงิน เรื่องภาษี นั้นสำคัญแน่นอนครับ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการ "รู้จักตัวเอง"ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดในสนามการเงิน ไม่ใช่เจ้ามือ ไม่ใช่เศรษฐกิจโลก และไม่ใช่แก๊งคอลเซ็นเตอร์... แต่คือ "อคติ" ในหัวของเราเองครับ วันนี้เราได้กะเทาะเปลือก 4 กับดักร้าย
- Mental Accounting: เลิกมองเงินโบนัสเป็นเงินฟรี
- Sunk Cost Fallacy: เลิกเสียดายอดีตที่แก้ไขไม่ได้
- Loss Aversion: เลิกกลัวจนไม่กล้าตัดใจ
- Anchoring Effect: เลิกเชื่อราคาป้าย SALE
ลองสำรวจตัวเองดูนะครับว่าเราติดกับดักข้อไหนบ่อยที่สุด? แค่คุณ "รู้ตัว" (Self-Awareness) คุณก็ชนะเกมนี้ไปครึ่งหนึ่งแล้วครับ ขอให้ทุกคนมีสติในการใช้เงิน และรวยขึ้นแบบไม่มีอะไรมากั้นครับ!
LuMoo Money Story
(จบบริบูรณ์)





แสดงความคิดเห็น
ร่วมแบ่งปันไอเดียหรือสอบถามได้ที่นี่