กับดักปีใหม่กับหนี้ก้อนเดิม

ปีใหม่... คนใหม่ หรือแค่ ลูกหนี้หน้าใหม่?  ชำแหละค่านิยม ให้รางวัลตัวเอง ที่กำลังฆ่าอนาคตคุณ

โดย LuMoo Money Story

​เสียงเพลง Jingle Bells เริ่มดังขึ้นซ้ำไปซ้ำมาในทุกหัวมุมถนน แสงไฟประดับประดาระยิบระยับแข่งกันส่องสว่างตามหน้าห้างสรรพสินค้า ป้ายสีแดงตัวโตที่เขียนว่า "SALE 70%" ดูเหมือนจะมีแรงดึงดูดมหาศาลยิ่งกว่าแรงโน้มถ่วงของโลก บรรยากาศในช่วงปลายเดือนธันวาคมของทุกปี คือช่วงเวลาที่มวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเรา ดูจะมีความสุขที่สุด ผ่อนคลายที่สุด และหน้าใหญ่ใจโตที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน... มันคือช่วงเวลาที่ "อันตราย" ที่สุดสำหรับสุขภาพทางการเงินของคุณ ​ผมไม่ได้กำลังจะมาทำตัวเป็นมนุษย์ลุงขวางโลกที่เห็นใครยิ้มแล้วหงุดหงิดนะครับ แต่ในฐานะของคนที่คลุกคลีอยู่กับเรื่องเงินๆ ทองๆ และเห็นวงจรชีวิตของคนไทยมานับไม่ถ้วน ผมอดไม่ได้ที่จะต้องพูดความจริงที่อาจจะฟังดูระคายหูสักหน่อย ความจริงที่ว่า คนส่วนใหญ่กำลังเฉลิมฉลองปีใหม่ ด้วยการ "ขุดหลุมฝังศพ" ให้ตัวเองในปีหน้า

​เราเรียกช่วงเวลานี้ว่า "เทศกาลแห่งความสุข" แต่ผมขอเรียกมันใหม่ว่า "เทศกาลแห่งการลืมตัว" เพราะทันทีที่ปฏิทินกำลังจะเปลี่ยนเลขศักราช สิ่งที่ตามมาสำหรับคนจำนวนมากไม่ใช่ "ชีวิตใหม่" อย่างที่ปากบอก แต่คือ "หนี้ก้อนใหม่" ที่ใหญ่กว่าเดิม และสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือ เราทำทั้งหมดนี้ภายใต้ข้ออ้างที่ฟังดูดีที่สุดในโลก... "ก็ฉันทำงานหนักมาทั้งปี ขอให้รางวัลตัวเองหน่อยไม่ได้หรือไง?" ​คำตอบสั้นๆ จากผมคือ... ได้ครับ แต่คุณแน่ใจนะว่านั่นคือรางวัล ไม่ใช่ยาพิษ? ​มนุษย์เรามีจุดอ่อนทางจิตวิทยาข้อหนึ่งที่นักการตลาดรู้ดีที่สุด มันเรียกว่า "The Fresh Start Effect" หรือผลกระทบของการเริ่มต้นใหม่ สมองของเราเสพติดเส้นแบ่งเวลาครับ เราชอบวันจันทร์ เราชอบวันที่ 1 ของเดือน และเราคลั่งไคล้วันที่ 1 มกราคม เรามีความเชื่อฝังหัวว่า ทันทีที่เข็มนาฬิกาข้ามผ่านเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 31 ธันวาคม บาปกรรมทางการเงินทั้งหมด ความล้มเหลว ความขี้เกียจ และนิสัยแย่ๆ ในปีเก่า จะถูกล้างกระดานจนขาวสะอาดราวกับเวทมนตร์

​"ปีหน้าฉันจะเก็บเงิน" "ปีหน้าฉันจะลดความอ้วน" "ปีหน้าฉันจะเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม" ​ความตั้งใจเหล่านี้เป็นเรื่องดีครับ แต่ปัญหามันอยู่ที่ "วิธีการ" ที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการแปลงร่างเป็นคนใหม่ เรามักจะเลือกทางลัด... ทางลัดที่ต้องใช้เงินซื้อเพื่อสร้างภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูเหมือนเราเปลี่ยนไปแล้ว อยากเป็นคนดูดีมีคลาส ก็รูดบัตรซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมคอลเลกชันใหม่ อยากเป็นคนรักสุขภาพ ก็สมัครฟิตเนสรายปีราคาแพงทั้งที่ปีที่แล้วไปวิ่งที่สวนสาธารณะฟรียังทำไม่ได้ หรืออยากเป็นคนทันสมัย ก็ต้องถอยมือถือรุ่นเรือธงทั้งที่เครื่องเก่าเพิ่งผ่อนหมด เรากำลังแก้ปัญหาที่ "ความรู้สึก" ไม่ใช่ที่ "ความจริง" เราจ่ายเงินเพื่อให้ตัวเอง "รู้สึก" ว่าเราเป็นคนใหม่ แต่ในทางบัญชี สถานะการเงินของคุณไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเลย เผลอๆ แย่ลงด้วยซ้ำ คุณกำลังเล่นละครตบตาตัวเอง โดยมีบัตรเครดิตเป็นสปอนเซอร์หลัก และเมื่อม่านการแสดงจบลงในวันที่วันหยุดหมดไป คุณก็ต้องกลับไปเป็นกรรมกรใช้แรงงานเพื่อจ่ายค่าตัวละครที่คุณเพิ่งแสดงไป

​ที่ร้ายแรงไปกว่านั้น คือสมการการให้รางวัลตัวเองที่ผิดเพี้ยน ประโยคที่อันตรายที่สุดในโลกการเงินไม่ใช่ "ไม่มีเงิน" แต่คือ "ของมันต้องมี เพราะฉันคู่ควร" ลองมาถอดสมการนี้ดูครับ สมมติคุณเงินเดือน 30,000 บาท คุณทำงานหนักมาทั้งปี เหนื่อยสายตัวแทบขาด พอสิ้นปีคุณบอกว่า "ขอซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมใบละ 30,000 บาท เป็นรางวัลชีวิต" ตรรกะทั่วไปจะบอกว่า "ก็เงินฉัน ฉันหามา ฉันมีสิทธิ์ใช้" แต่ตรรกะทางการเงินจะตะโกนใส่หน้าคุณว่า "คุณเพิ่งทำงานฟรีไป 1 เดือนเต็มๆ!" ​คุณยอมแลกเวลาชีวิต 30 วัน แลกความเครียด แลกสุขภาพ การตื่นเช้า ฝ่ารถติด การทนโดนเจ้านายด่า เพื่อแลกกับวัตถุ 1 ชิ้น ที่ความสุขจากการได้ครอบครองมัน (Dopamine hit) จะจางหายไปภายในเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์? นี่ไม่ใช่รางวัลครับ นี่คือการปล้น คุณกำลังปล้น "เวลา" และ "อิสรภาพ" ในอนาคตของตัวเอง มาปรนเปรอความอยากชั่ววูบในปัจจุบัน รางวัลชีวิตที่แท้จริง ควรเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น มั่นคงขึ้น หรือเติบโตขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คุณต้องก้มหน้าทำงานใช้หนี้ต่อไปไม่รู้จบ

รางวัลชีวิตหรือยาพิษทางการเงิน?

เมื่อเราก้าวข้ามด่านของความรู้สึกมาได้แล้ว ผมอยากชวนคุณถอดแว่นตาแห่งความอยากออก แล้วหยิบแว่นขยายทางคณิตศาสตร์ขึ้นมาสวมแทน เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร และตัวเลขชุดเดียวกันนี่แหละที่จะบอกความจริงอันโหดร้ายว่า สิ่งที่คุณกำลังจะควักกระเป๋าจ่ายเพื่อแลกกับความสุขชั่วคราวนั้น แท้จริงแล้วมันมี "ราคาที่ต้องจ่าย" แพงกว่าป้ายราคาที่คุณเห็นมหาศาล นักเศรษฐศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า "ค่าเสียโอกาส" (Opportunity Cost) สมมติง่ายๆ ว่าปีใหม่นี้คุณเล็งโทรศัพท์มือถือรุ่นเรือธงเครื่องใหม่เอาไว้ สนราคาอยู่ที่ 45,000 บาท คนทั่วไปร้อยทั้งร้อยจะคิดคำนวณในใจแค่ว่า "เงินเดือนฉันเท่านี้ ผ่อน 0% 10 เดือน ตกเดือนละ 4,500 บาท... สบายมาก จ่ายไหว" ซึ่งถ้ามองแค่สภาพคล่องรายเดือน มันก็คง "ไหว" จริงๆ นั่นแหละครับ แต่ถ้ามองในมุมของความมั่งคั่ง นี่คือหายนะที่เงียบเชียบที่สุด เพราะเงิน 45,000 บาทในวันนี้ ไม่ได้มีค่าเท่ากับ 45,000 บาทในอีก 10 ปีข้างหน้า ลองจินตนาการดูสิครับว่า ถ้าคุณสามารถสะกดกลั้นกิเลส แล้วเปลี่ยนจาก "ผู้ซื้อ" มาเป็น "นักลงทุน" โดยนำเงินก้อนเดียวกันนั้นไปวางไว้ในที่ที่ถูกต้อง เช่น กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) หรือหุ้นปันผลพื้นฐานแกร่ง ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นสัก 8% ต่อปี แล้วปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ของมันไปเงียบๆ สัก 10 ปี โดยที่คุณไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันเลย เชื่อมั้ยครับว่า เงิน 45,000 บาทก้อนนั้น จะเติบโตกลายเป็นเงินเกือบ 100,000 บาท!

ภาพเปรียบเทียบโทรศัพท์มือถือที่เก่าลงกับต้นไม้เงินที่เติบโตขึ้นจากการลงทุน

คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ... เกือบหนึ่งแสนบาท นั่นหมายความว่า ราคาที่แท้จริงของมือถือเครื่องนั้นในมุมมองของอนาคต ไม่ใช่สี่หมื่นห้า แต่คือหนึ่งแสนบาท คุณกำลังยอมแลกเงินแสนในอนาคต เพียงเพื่อจะได้ครอบครองอุปกรณ์สื่อสารที่ในอีก 3 ปีข้างหน้า มันจะกลายเป็นแค่เศษเหล็กตกรุ่นที่แบตเตอรี่เริ่มเสื่อม และขายต่อร้านตู้ได้ราคาไม่กี่พันบาท นี่คือการแลกเปลี่ยนที่ขาดทุนย่อยยับที่สุด แต่คนส่วนใหญ่กลับมองไม่เห็น เพราะมัวแต่โฟกัสที่ความสุขระยะสั้นตรงหน้า จนลืมมองภาพใหญ่ของชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ธรรมชาติของ "ของขวัญ" ที่เรานิยมซื้อเปย์ตัวเองในช่วงเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นแกดเจ็ตไอที เสื้อผ้าแฟชั่นคอลเลกชันใหม่ หรือแม้กระทั่งรถยนต์ป้ายแดง ล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่มีศัตรูตัวฉกาจซ่อนอยู่นั่นคือ "ค่าเสื่อมราคา" (Depreciation) ทันทีที่คุณเดินถือถุงช้อปปิ้งออกจากร้าน หรือขับรถพ้นประตูโชว์รูม มูลค่าของสิ่งของเหล่านั้นจะระเหยหายไปในอากาศทันที 15-20% และจะลดลงเรื่อยๆ ทุกวันที่ผ่านไป มันเหมือนกับคุณกำลังถือก้อนน้ำแข็งเดินตากแดด ที่ต่อให้คุณจะดูแลรักษามันดีแค่ไหน สุดท้ายมันก็จะละลายกลายเป็นน้ำจนหมดอยู่ดี

​ถามใจตัวเองดูครับว่า เราทำงานหนักมาทั้งปี เหนื่อยสายตัวแทบขาด เพื่อจะเอาเงินที่หามาได้ยากลำบาก ไปแลกกับ "ขยะในอนาคต" อย่างนั้นหรือ? ทำไมเราไม่ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ ด้วยการสะสม "เครื่องผลิตเงิน" แทน ผมไม่ได้บอกว่าชีวิตนี้ห้ามซื้อของฟุ่มเฟือยเลยนะครับ เรายังคงเป็นมนุษย์ที่มีความต้องการ แต่ก่อนที่จะรูดบัตรครั้งต่อไป ผมอยากให้ลองใช้สมการความคุ้มค่าแบบง่ายๆ ที่ผมใช้เตือนสติตัวเองเสมอ นั่นคือ "ความคุ้มค่า เท่ากับ ความสุข คูณ ระยะเวลา หารด้วย ราคา" ถ้าคุณซื้อของแบรนด์เนม ความสุขอาจจะพุ่งปรี๊ดปรอทแตกในตอนแกะกล่อง แต่มันจะอยู่กับคุณได้กี่วัน? หนึ่งเดือน? สองเดือน? หลังจากนั้นมันก็จะกลายเป็นแค่ของชิ้นหนึ่งในตู้ แต่ถ้าคุณเอาเงินจำนวนเดียวกันไปลงทุน ความสุขตอนกดซื้ออาจจะน้อยนิดจนน่าเบื่อ แต่มันจะอยู่กับคุณไป "ตลอดชีวิต" ในรูปแบบของความมั่นคงทางใจ และเงินปันผลที่จะเลี้ยงดูคุณในวันที่คุณไม่มีแรงทำงาน ​แต่ก็นั่นแหละครับ ผมเข้าใจดีว่าเหตุผลที่เรายอมจ่ายเงินซื้อของแพงๆ บางครั้งมันไม่ใช่เรื่องของเหตุผลทางคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่มันมีแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังยิ่งกว่าซ่อนอยู่... แรงขับเคลื่อนที่มาจาก "สายตาของคนอื่น" และแรงกดดันทางสังคมที่บีบให้เราต้อง "ดูดี" ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่ทุกคนต่างพากันอวดชีวิตดีๆ บนโลกออนไลน์

ถ้าไวรัสโควิดทำลายปอด "ไวรัสทางสังคม" ที่ระบาดหนักที่สุดในช่วงปีใหม่ ก็กำลังทำลาย "กระเป๋าตังค์" ของคุณอย่างเงียบเชียบแต่มรณะไม่แพ้กัน เคยไหมครับ? นั่งไถฟีด Facebook หรือ Instagram ในคืนเคาท์ดาวน์ แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็น "ผู้แพ้" เพื่อนคนแรกเช็กอินสกีรีสอร์ทที่ฮอกไกโดพร้อมแคปชันชวนฝัน เพื่อนคนที่สองโพสต์รูปดินเนอร์โอมากาเสะคอร์สละแปดพัน และเพื่อนคนที่สามถ่ายรูปคู่กับรถป้ายแดงคันใหม่ที่เพิ่งถอยมาต้อนรับปีใหม่ ความรู้สึก "จี๊ด" ที่แล่นเข้ามาในใจนั่นแหละครับ คืออาการเริ่มต้นของโรคระบาดที่เรียกว่า "Seasonal FOMO" (Fear Of Missing Out ช่วงเทศกาล) มันคือความกลัวลึกๆ ว่าคนอื่นกำลังมีชีวิตที่ดีกว่า สนุกกว่า และรวยกว่าเรา

​ในช่วงปีใหม่ โซเชียลมีเดียจะเปลี่ยนสภาพจากพื้นที่แบ่งปันเรื่องราว กลายเป็น "ลานประลองฐานะ" ทุกคนต่างพยายามคัดสรรช่วงเวลาที่ดีที่สุด หรือที่เรียกว่า "Highlight Reel" มาโชว์กัน แต่สิ่งที่เรามักจะลืมไปคือ เรากำลังเปรียบเทียบ "ชีวิตจริงอันยุ่งเหยิง" ของเรา กับ "ภาพมายาที่ถูกจัดฉาก" ของคนอื่น คุณเห็นรูปเพื่อนเช็กอินญี่ปุ่น แต่คุณไม่เห็นตอนที่เขากดบัตรกดเงินสดมาจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินพร้อมดอกเบี้ยมหาโหด คุณเห็นรูปกระเป๋าแบรนด์เนม แต่คุณไม่เห็นบิลบัตรเครดิตที่เขาต้องผ่อนขั้นต่ำไปอีก 10 เดือน คุณเห็นรอยยิ้มในปาร์ตี้ แต่คุณไม่เห็นความเครียดตอนสิ้นเดือนที่เงินไม่พอใช้ เรากำลังพยายามจะ "สู้" ในสงครามจอมปลอมนี้ ด้วยการใช้จ่ายเกินตัวเพื่อสร้างภาพมายาของเราขึ้นมาบ้าง ซื้อเสื้อผ้าใหม่เพื่อถ่ายรูปไม่กี่ช็อต เลือกร้านอาหารแพงๆ เพื่อให้โลเคชันดูดี ทั้งที่รสชาติงั้นๆ นี่คือการแข่งขันที่ "ไม่มีใครชนะ" มีแต่คนเจ็บตัวฟรี เพราะต่อให้คุณรวยแค่ไหน ก็จะมีคนที่รวยกว่าและอวดได้เก่งกว่าคุณเสมอในหน้าฟีด

คนใส่หน้ากากยิ้มแย้มถ่ายรูปหน้าจอสมาร์ทโฟน แต่หลังจอมีบิลหนี้สินกองโต

​อีกหนึ่งศัตรูตัวร้ายที่แฝงมากับเทศกาลคือคำว่า "ภาษีสังคม" (Social Tax) คำคำนี้ฟังดูเหมือนเป็นหน้าที่ที่เราต้องจ่าย แต่จริงๆ แล้วมันคือกับดักที่เราสร้างขึ้นเองจากความเกรงใจและการกลัวเสียหน้า "ปีใหม่ทั้งที ต้องเลี้ยงลูกน้องหน่อยสิ" "จับฉลากของขวัญออฟฟิศ ต้องขั้นต่ำ 500 นะ เดี๋ยวดูไม่ดี" หรือ "กลับบ้านต่างจังหวัด ต้องมีทองไปฝากพ่อแม่ ไม่งั้นชาวบ้านนินทา" เดี๋ยวนะครับ... ใครเป็นคนกำหนดกฎพวกนี้? เรากำลังจ่ายเงินเพื่อซื้อ "ความสบายใจของคนอื่น" โดยแลกกับ "ความลำบากของตัวเราเอง" อยู่หรือเปล่า? ผมไม่ได้บอกให้คุณเป็นคนแล้งน้ำใจนะครับ การให้เป็นสิ่งที่ดี แต่การให้ที่ "เกินตัว" จนตัวเองเดือดร้อน ไม่เรียกว่าการให้ครับ เรียกว่า "การเบียดเบียนตัวเอง" (Self-Sabotage) พ่อแม่ที่รักคุณจริง เขาอยากเห็นลูกมี "เงินเก็บสำรอง" ให้อุ่นใจ มากกว่าเห็น "ทองรูปพรรณ" แต่ลูกหนี้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

​ปี 2026 นี้ ผมอยากชวนคุณเปลี่ยนนิยามความสำเร็จใหม่ เลิกมองคนที่ "Rich" (ดูรวย) แล้วหันมาโฟกัสการเป็นคนที่ "Wealthy" (มั่งคั่ง) แทน ความแตกต่างของสองคำนี้มันมหาศาลครับ คนที่ดูรวย คือคนที่โชว์รายได้สูงๆ ผ่านการใช้จ่าย (High Spending) ขับรถหรู ใส่ของแพง กินหรูอยู่สบาย แต่อาจจะมีหนี้มหาศาลซ่อนอยู่ใต้พรม และถ้าหยุดทำงานเมื่อไหร่คือจบเห่ ส่วนคนมั่งคั่ง คือคนที่มีความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) สูง มีทรัพย์สินที่สร้างรายได้ (Assets) มีอิสรภาพทางเวลา พวกเขาอาจจะใส่เสื้อยืดธรรมดา ขับรถคันเก่า แต่พอร์ตหุ้นโตเอาๆ และนอนหลับได้สนิททุกคืนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้ ในโลกโซเชียลมีเดีย คนส่วนใหญ่พยายามเป็นแบบแรกเพราะมันเรียกยอดไลก์ได้ง่าย แต่ในโลกความจริง คนที่ชนะเกมการเงินคือคนแบบหลัง ซึ่งมักจะเงียบและไม่อวด คำถามวัดใจก่อนจะผ่านพ้นปีนี้ไปคือ คุณอยากได้ "ยอดไลก์หลักร้อย" หรืออยากได้ "เงินเก็บหลักล้าน"? ถ้าคุณเลือกอย่างหลัง จงกล้าที่จะ "ไม่เหมือนใคร" จงกล้าที่จะโพสต์รูปกินหมูกระทะทำเองที่บ้านอย่างมีความสุข ในขณะที่คนอื่นโพสต์ดินเนอร์หรู เพราะความสุขของคุณ ไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติ หรือ Validate จากใครหน้าไหนทั้งนั้น และเมื่อคุณปลดล็อกตัวเองออกจากสายตาคนอื่นได้แล้ว สิ่งมหัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้น... คุณจะพบว่าเงินในกระเป๋าคุณเหลือเยอะขึ้นอย่างน่าตกใจ และนั่นคือวินาทีที่คุณพร้อมแล้วสำหรับบทต่อไป... บทแห่งการ "ตาสว่าง" และเริ่มสร้างชีวิตใหม่อย่างแท้จริง

เราเดินทางมาไกลมากครับ จากการถูกตบหน้าให้ตื่นจากภวังค์แห่งความฝัน ถูกฟาดด้วยตัวเลขแห่งความเป็นจริง และถูกกระชากหน้ากากสังคมออกจนล่อนจ้อน ตอนนี้... ถ้าคุณยังอ่านอยู่ แสดงว่าคุณคือ "ผู้รอดชีวิต" คุณคือคนส่วนน้อยที่ยอมรับความจริง และพร้อมแล้วที่จะถอดปลั๊กตัวเองออกจากระบบ Matrix แห่งการบริโภคนิยมที่ครอบงำเราอยู่ คำถามสำคัญที่น่าจะดังก้องอยู่ในหัวคุณตอนนี้คือ "แล้วฉันต้องทำยังไงต่อ? ปีใหม่นี้จะไม่ให้ฉลองเลยเหรอ? ต้องนั่งสมาธิข้ามปีหรือกินมาม่าอยู่ในห้องมืดๆ หรือไง?" คำตอบคือ... ไม่ใช่ครับ! ฉลองได้ครับ เต็มที่เลยด้วย แต่ต้องฉลองแบบคนฉลาด หรือ "Smart Celebration" คนรวยตัวจริงเขาไม่ได้หยุดใช้เงินนะครับ แต่เขาใช้เงินอย่างมียุทธศาสตร์ และนี่คือกลยุทธ์ที่จะทำให้ปีใหม่นี้ของคุณ "สนุก" เหมือนเดิม แต่ "ไม่จน" เหมือนที่เคยเป็นมา

​เริ่มจากสิ่งที่หลายคนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ... "โบนัส" ครับ ช่วงสิ้นปีแบบนี้ หลายคนได้รับเงินก้อนพิเศษ ก้อนใหญ่บ้าง เล็กบ้าง คนทั่วไปมักจะมองเงินก้อนนี้เป็น "เงินฟรี" (Windfall Money) ที่สวรรค์ประทานมาให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้เต็มที่ แต่คนที่จะรวย... เขามองโบนัสเป็น "กระสุนดินดำ" (Capital) ครับ ปีนี้ผมอยากให้คุณลองทำสิ่งที่ท้าทายดู ทันทีที่โบนัสเข้าบัญชี ให้ใช้กฎ "หักหัวคิวตัวเอง" ทันที 50% แบ่งครึ่งแรกโยนเข้าพอร์ตการลงทุน หรือเอาไปโปะหนี้ก้อนที่ดอกเบี้ยแพงที่สุด ให้คิดซะว่าเงินครึ่งนี้ไม่เคยมีอยู่จริงบนโลก มันคือ "เมล็ดพันธุ์" ที่เราจะฝังดินไว้เพื่อปลูกต้นไม้แห่งความมั่งคั่ง ส่วนอีก 50% ที่เหลือ... อนุญาตให้ตัวเองใช้ฉลองได้เต็มที่ครับ! จะกินหรู จะซื้อของ จะเที่ยว ก็เอาให้สุดในงบนี้ เชื่อมั้ยครับว่า การทำแบบนี้คุณจะเที่ยวสนุกกว่าเดิมหลายเท่า เพราะลึกๆ ในใจคุณรู้ว่า "อนาคตปลอดภัยแล้ว" คุณจะรูดบัตรในวงเงินที่กันไว้ได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องมีภาพหลอนของหนี้สินมาตามหลอกหลอนหลังปีใหม่

การแบ่งเงินโบนัสออกเป็นสองส่วนเท่าๆ กัน ระหว่างการลงทุนและรางวัลชีวิต

​ต่อมาคือเรื่องของ "ของขวัญ" เลิกซื้อ "ขยะ" ให้ตัวเองเถอะครับ ปีใหม่นี้ถ้าอยากเปย์ตัวเองจริงๆ ลองเปลี่ยนจากของที่ "เสื่อมค่า" มาเป็นของที่ "สร้างมูลค่า" ดูบ้าง แทนที่จะซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นชุดใหม่ที่ใส่ได้ไม่กี่ครั้งก็เบื่อ ลองเปลี่ยนไปซื้อ "คอร์สเรียนภาษา" หรือ "สกิลหารายได้เสริม" อย่างการตัดต่อวิดีโอ หรือการเขียนโค้ดโปรแกรม ทักษะเหล่านี้ไม่มีวันตกรุ่นเหมือนมือถือ และมันจะทำเงินคืนให้คุณเป็นสิบเท่าร้อยเท่าในปีหน้า หรือแทนที่จะซื้อหวยชุดใหญ่หวังรวยทางลัด ลองเปลี่ยนมาซื้อ "สลากออมทรัพย์" หรือเปิดพอร์ต "กองทุนรวม" เป็นของขวัญชิ้นแรกให้ตัวเอง แม้กระทั่งเรื่องสุขภาพ แทนที่จะเอาเงินไปละลายกับค่าเหล้าฉลอง ลองเปลี่ยนเป็นรองเท้าวิ่งดีๆ สักคู่ เพราะร่างกายที่แข็งแรงคือสินทรัพย์ที่แพงที่สุด ถ้าคุณป่วย เงินที่หามาได้ทั้งหมดก็ไร้ความหมาย

​สุดท้ายคือกลยุทธ์ที่ผมเรียกว่า "Social Detox" ช่วงวันหยุดยาวนี้ ผมท้าให้คุณทำภารกิจ "Unplug" ครับ ลองวางมือถือลง หรือลบแอปโซเชียลทิ้งชั่วคราว แล้วหันมามองคนข้างๆ จริงๆ ทำกับข้าวกินกันเองที่บ้าน นั่งคุยกับพ่อแม่ หรือเล่นกับลูกจริงๆ จังๆ โดยไม่มีหน้าจอมาคั่นกลาง คุณจะพบความจริงที่น่าตกใจว่า... ความสุขจริงๆ มันใช้เงินน้อยมาก ความสุขที่แพงๆ ส่วนใหญ่ คือความสุขที่ต้อง "ปรุงแต่ง" เพื่อเอาไว้โชว์คนอื่นทั้งนั้น เมื่อคุณเลิกเสพสุขจากหน้าจอ คุณจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความสุขที่แท้จริงที่อยู่ตรงหน้า และนั่นคือกำไรชีวิตที่ประเมินค่าไม่ได้ เพื่อนๆ ครับ... ปฏิทินกำลังจะถูกฉีกออกหน้าสุดท้าย และตัวเลขศักราชกำลังจะเปลี่ยนเป็น 2026 ในอีกไม่กี่อึดใจนี้ แต่มันจะไม่มีความหมายอะไรเลยครับ ถ้า "Mindset" หรือระบบความคิดในหัวของคุณยังคงเป็นเวอร์ชัน 2025 ที่เต็มไปด้วยบั๊กและความผิดพลาดเดิมๆ อย่าปล่อยให้ปีใหม่ เป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการผลัดวันประกันพรุ่ง และอย่าให้คำว่า "เริ่มใหม่" เป็นแค่คำปลอบใจราคาถูกของคนขี้แพ้ที่ทำพลาดซ้ำซากแล้วไม่คิดจะแก้ไข

​ปี 2026 นี้... ผมขออวยพรให้คุณไม่ใช่แค่มีความสุข แต่ขอให้คุณเป็นคนใหม่ที่ "ดุดัน" กับตัวเองมากขึ้น ดุดันกับกิเลสที่เข้ามาล่อลวง ดุดันกับวินัยทางการเงิน และดุดันกับการพัฒนาตัวเอง เลิกทำตัวเป็นเหยื่อของการตลาดที่ใครจูงจมูกไปทางไหนก็ไป เลิกทำตัวเป็นทาสของค่านิยมสังคมที่ต้องคอยจ่ายส่วยเพื่อซื้อคำชม แล้วลุกขึ้นมายืนหยัดเป็น "นายของเงิน" ของตัวเองให้ได้ ทางเดินข้างหน้าสู่ความมั่งคั่งอาจจะไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันอาจจะต้องแลกมาด้วยความอดทน การอดเปรี้ยวไว้กินหวาน และการฝืนใจทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ แต่เชื่อผมเถอะครับว่า... ปลายทางของอิสรภาพทางการเงิน มัน "หอมหวาน" เกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ วันที่คุณตื่นมาแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้ วันที่คุณเลือกทำงานเพราะ "ใจรัก" ไม่ใช่เพราะ "จำยอม" และวันที่คุณสามารถดูแลคนที่คุณรักได้จริงๆ ไม่ใช่แค่ดูแลด้วยคำพูดสวยหรู ขอให้ปี 2026 เป็นปีแห่งการ "ตาสว่าง" เป็นปีที่คุณเลิกพยายาม "ดูรวย" แล้วเริ่มลงมือสร้างความ "รวย" จริงๆ สักที หยุดวิ่งไล่ตามเงาของคนอื่น แล้วหันมาสร้างแสงสว่างในแบบของคุณเอง

​สวัสดีปีใหม่ และขอต้อนรับสู่โลกแห่งความจริง... โลกที่อิสรภาพเป็นของคุณครับ

- LuMoo Money Story -

เก็บไว้ในรายการโปรด