บทนำ โลกสีชมพูที่จ่ายด้วยบิลค่าไฟ
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว LuMoo Money Story ทุกคน ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Phase 2 Mastery & Protection อย่างเป็นทางการครับ หลังจากที่เราใช้เวลา 14 ตอนแรกในการ "ล้างไพ่" ความเชื่อแบบโลกสวยและรื้อระบบระเบียบทางการเงินให้ "ตัวเอง" จนเริ่มลืมตาอ้าปากได้แล้ว วันนี้ผมจะพาคุณก้าวข้ามจากเรื่องของ "ตัวเรา" ไปสู่เรื่องของ "เราสองคน" ที่ซับซ้อนและเปราะบางกว่าเดิมหลายเท่าครับ
มีคำกล่าวที่ว่า "ความรักกินไม่ได้แต่เท่" ผมขออนุญาตใช้ "วิชาข้างถนน" เถียงขาดใจตรงนี้เลยครับ เพราะในโลกความเป็นจริงที่ไม่มีฟิลเตอร์ไอจีช่วยปิดบังความลำบาก ความรักที่ปราศจากฐานรากทางการเงินที่มั่นคง มักจะจบลงด้วยความขมขื่นเสมอ เคยสังเกตไหมครับ? หลายคู่ตอนจีบกันใหม่ๆ อะไรก็ดูดีไปหมด ร้านอาหารหรู โรงหนัง VIP ของขวัญเซอร์ไพรส์ทุกเทศกาล แต่พอตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน "ความโรแมนติก" ที่เคยมีกลับถูกแทนที่ด้วย "ความระแวง" เมื่อบิลบัตรเครดิตเริ่มพอกพูน หรือเมื่อพบว่าคนข้างๆ แอบซ่อนหนี้สินบางอย่างไว้ไม่บอกกัน
บทความในซีรีส์ Phase 2 นี้ ผมตั้งใจจะพาคุณไปเจาะลึกกลยุทธ์การบริหารเงินฉบับคู่รักที่ไม่ใช่แค่การ "หารสอง" แบบพื้นฐาน แต่มันคือการสร้าง "ป้อมปราการความมั่งคั่ง" ร่วมกัน เพื่อให้แน่ใจว่าชีวิตคู่ของคุณจะเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่ใช่การร่วมกันขุดหลุมฝังศพทางการเงินไปพร้อมๆ กันเพียงเพราะคำว่าเกรงใจครับ เพราะสุดท้ายแล้ว อิสรภาพทางการเงินไม่ได้หมายถึงการมีเงินร้อยล้าน แต่มันคือการที่คุณและคนข้างๆ สามารถ "ควบคุมเงินได้" และเป็นนายของชีวิตตัวเองได้อย่างแท้จริง
1. การนอกใจทางการเงิน (Financial Infidelity) หนี้ที่มองไม่เห็นคือยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด
ศัตรูอันดับหนึ่งของความรักในยุคทุนนิยม ไม่ใช่การมีมือที่สามเสมอไปครับ แต่มันคือการ "ซุกหนี้" หรือที่นักจิตวิทยาการเงินเรียกว่า Financial Infidelity (การนอกใจทางการเงิน) ลองจินตนาการดูนะครับ ถ้าวันหนึ่งคุณค้นพบว่าคู่ชีวิตที่คุณฝากความหวังและอนาคตไว้ แอบมีหนี้บัตรเครดิตหลักแสนจากการใช้ชีวิตเกินฐานะ หรือแอบเอาเงินเก็บส่วนกลางไปลงทุนในแชร์ลูกโซ่โดยไม่บอกคุณ ความรู้สึกมันไม่ต่างจากการถูกนอกใจทางชู้สาวเลยครับ เพราะมันทำลาย "ความไว้วางใจ" (Trust) ซึ่งเป็นเสาเข็มต้นเดียวที่ยึดบ้านทั้งหลังไว้ไม่ให้พังครืนลงมา ทำไมคนเราถึงเลือกที่จะโกหกเรื่องเงิน? ส่วนใหญ่เกิดจาก "กับดักสมอง" ที่ผมเคยเล่าไว้ คือความกลัวความสูญเสีย (Loss Aversion) มนุษย์เรามีความเจ็บปวดจากการสูญเสียรุนแรงกว่าความสุขที่ได้รับ หลายคนจึงเลือกที่จะเงียบเพื่อรักษาความสัมพันธ์ชั่วคราว เพราะกลัวว่าถ้าบอกความจริงไปแล้วจะถูกตัดสิน ถูกด่า หรือถูกทิ้งไป แต่ในฐานะ Thought Partner ผมต้องบอกคุณตรงๆ ว่า การบอกความจริงเรื่องหนี้ในวันที่เริ่มสร้างชีวิต แม้มันจะเจ็บปวดและน่าอายชั่วคราว แต่มันคือการ "ล้างไพ่" (The Grand Reset) เพื่อเริ่มต้นใหม่ที่ขาวสะอาดและจริงใจต่อกันมากกว่าเดิมครับ
การโกหกเรื่องเงินไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ทางออก แต่มันคือการวางระเบิดเวลาไว้ใต้เตียงนอนที่คุณต้องตื่นมาเจอทุกวัน และเมื่อมันระเบิดขึ้นมาในวันที่สายเกินไป ความเสียหายนั้นอาจจะกู้คืนไม่ได้อีกเลย ทั้งในแง่ของตัวเลขในบัญชีและหัวใจของคนข้างๆ คุณกำลังจ่ายราคาที่แพงเกินไปเพื่อซื้อความสบายใจปลอมๆ ในปัจจุบัน โดยแลกกับหายนะในอนาคต เมื่อคุณและคู่ชีวิตกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงที่เจ็บปวดอย่างเรื่อง "หนี้สิน" ที่ซุกซ่อนไว้ได้แล้ว ก้าวต่อไปไม่ใช่การจมอยู่กับความรู้สึกผิดครับ แต่มันคือการ "กางสมาคมสู้หนี้" และวางระบบที่จะทำให้ "เรา" แข็งแกร่งกว่า "ผม" หรือ "คุณ" เพียงลำพัง การกางสลิปหนี้ออกมาวางบนโต๊ะร่วมกัน คือบททดสอบความรักที่แท้จริงในยุค 2026 ครับ หากคุณผ่านจุดนี้ไปได้โดยไม่ใช้อารมณ์มาตัดสินกัน คุณได้สร้างรากฐานความไว้วางใจที่เงินซื้อไม่ได้ขึ้นมาแล้ว และเพื่อไม่ให้สงครามครั้งนี้ยืดเยื้อ ผมแนะนำให้หยิบยุทธวิธี Snowball หรือ Avalanche ที่เราเคยคุยกันใน มาปรับใช้ในระดับครอบครัวครับ เลือกปิดยอดที่ดอกเบี้ยโหดที่สุดก่อน เพื่อรักษา "กระแสเงินสด" ของบ้านไม่ให้ไหลออกไปเลี้ยงธนาคารฟรีๆ
2. ระบบ "Me, You, and We" ความโปร่งใสที่มาพร้อมพื้นที่หายใจ
หลายคู่พังเพราะเรื่องเงินด้วยเหตุผลเพียงสองอย่างครับ: หนึ่งคือ "ต่างคนต่างจ่าย" จนไม่เห็นภาพรวมอนาคต และสองคือ "รวมกระเป๋า 100%" จนอึดอัดและเสียความเป็นตัวเองไป ระบบที่จะช่วยแก้บั๊กความสัมพันธ์นี้คือการประยุกต์ใช้ สูตรบริหารเงิน 50-30-20 มาเป็นโมเดล "Me, You, and We" ดังนี้ครับ บัญชีกองกลาง (The WE Account) – ฐานที่มั่นของความมั่นคง นี่คือบัญชีที่เป็น "หัวใจ" ของบ้านครับ ให้ตกลงกันว่าแต่ละคนจะแบ่งรายได้กี่เปอร์เซ็นต์ (เช่น คนละ 50% ของรายได้ตัวเอง) มาลงในกองนี้ เพื่อใช้สำหรับรายจ่ายจำเป็น (Needs) ของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าบ้าน, ค่าน้ำไฟ, หรือการสร้าง ถังเงินสำรองฉุกเฉิน ของบ้าน
- เทคนิคระดับโปร: บัญชีนี้ควรจอดไว้ในแอป Digital Saving ที่ให้ดอกเบี้ยสูง เพื่อให้เงินกองกลางนี้ต่อสู้กับเงินเฟ้อไปในตัวด้วยครับ
บัญชีความมั่งคั่ง (The WE Wealth) – เครื่องจักรผลิตเงินของครอบครัว กันเงินอีกส่วนหนึ่ง (เช่น 20% ของรายได้รวม) เพื่อส่งไปทำงานหนักในสินทรัพย์ที่เติบโตระยะยาว การร่วมกันสะสมหุ้นผ่านดัชนีระดับโลกอย่าง S&P 500 ไม่ได้เป็นแค่การลงทุนครับ แต่มันคือการสร้าง "อิสรภาพทางเวลา" ให้พวกคุณได้แก่ไปด้วยกันอย่างมีคุณภาพ ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลในอนาคต
บัญชีส่วนตัว (The ME & YOU Accounts) – พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของกิเลส
นี่คือจุดที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ "บ้านไม่แตก" ครับ เงินที่เหลือหลังจากหักกองกลางและความมั่งคั่งแล้ว คือเงินที่คุณมีสิทธิ์ใช้อย่างอิสระโดยไม่ต้องรายงานอีกฝ่าย จะเอาไปซื้อเกม ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม หรือเปย์งานอดิเรกส่วนตัว ก็ทำให้เต็มที่ครับ เพราะการมีชีวิตคู่ไม่ได้แปลว่าเราต้องสูญเสีย "ความสุขส่วนตัว" (Wants) ไป
ความรักที่ยืนยาว คือความรักที่มีระยะห่างให้แต่ละคนได้หายใจ แต่มีระบบที่แน่นหนาพอจะดึงดูดทั้งคู่เข้าหาเป้าหมายเดียวกันเสมอครับ
เมื่อเราจัดการระบบ "กระเป๋าตังค์สองเรา" จนเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว สิ่งที่จะตามมาทดสอบความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ในด่านถัดไป ไม่ใช่กิเลสของเราเองครับ แต่มันคือ "ปัจจัยภายนอก" ที่คนไทยเราหลีกเลี่ยงได้ยากที่สุด นั่นคือเรื่องของครอบครัวขยายและพี่น้องครับ
3. เมื่อ "ภาษีสังคมในครอบครัว" กลายเป็นบททดสอบความกตัญญู
ในสังคมไทย การแต่งงานไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่มันคือการรวมกันของสองครอบครัวครับ และบ่อยครั้งที่คำว่า "กตัญญู" ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการเบียดเบียนความมั่นคงของครอบครัวใหม่ที่คุณกำลังสร้างอยู่ ผมเรียกสิ่งนี้ว่า "ภาษีสังคมในครอบครัว" ซึ่งถ้าคุณเล่นเกมนี้ไม่เป็น มันจะกลายเป็นรูรั่วขนาดใหญ่ที่สูบเงินจาก ** ภาษีคือเกม** ที่คุณอุตส่าห์วางแผนแทบตาย ให้หายวับไปกับตาเพียงเพราะความเกรงใจครับ ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมเป็น "ตู้ ATM" ให้กับที่บ้านเดิมของตัวเอง โดยไม่ปรึกษาหรือเกรงใจคู่ชีวิต บางคนแอบโอนเงินให้พี่น้องยืม (ที่มักไม่ได้คืน) หรือต้องแบกรับภาระหนี้สินของพ่อแม่จนเกินกำลัง การกตัญญูเป็นเรื่องน่านับถือครับ แต่การกตัญญูจนทำให้คนข้างกายต้องลำบาก ไม่เรียกว่าความกตัญญูที่สมบูรณ์ แต่มันคือการ "ใจดีกับคนอื่น แต่ใจร้ายกับคนในบ้าน" และนี่คือชนวนเหตุชั้นดีที่จะทำให้อนาคตการเงินของพวกคุณพังทลายครับ
ยุทธวิธีรับมือ "ภาษีสังคม" แบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น:
- บรรจุ "งบกตัญญู" ไว้ในงบประมาณรายเดือน: อย่าให้การดูแลพ่อแม่เป็นเรื่องของ "อารมณ์" หรือ "ตามใจสั่ง" ครับ ให้ตกลงกับคู่ชีวิตและระบุเป็นตัวเลขที่ชัดเจนในงบ 50% ของ Needs หรือกองกลางที่ตกลงกันไว้ หากที่บ้านต้องการใช้เงินฉุกเฉิน ให้ดึงจากงบส่วนนี้เท่านั้น ห้ามไปแตะต้อง ถังเงินสำรองฉุกเฉิน ที่พวกคุณสร้างไว้เพื่ออนาคตของตัวเองเด็ดขาด
- ใช้ระบบ "SMART Goals" ในการเจรจากับญาติ: หากมีญาติมาขอยืมเงิน ให้ใช้ การตั้งเป้าหมาย SMART มาอ้างอิงครับ เช่น "ปีนี้เรากำลังเร่งเก็บเงินเพื่อดาวน์บ้านตามเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกัน ทำให้เรามีงบช่วยได้จำกัดเท่านี้จริงๆ" การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณปฏิเสธได้อย่างสุภาพและมีน้ำหนักครับ
- ปกป้องคู่ชีวิตก่อนเสมอ: หน้าที่อันดับหนึ่งของคุณในฐานะคู่ชีวิต คือการเป็น "โล่" ป้องกันความเสี่ยงให้กันและกันครับ อย่าปล่อยให้คู่ของคุณต้องมารู้สึกอึดอัดหรือต้องมารับผิดชอบหนี้ที่เขาไม่ได้ก่อเพียงเพราะคุณไม่กล้าพูดคำว่า "ไม่" กับญาติพี่น้องของตัวเอง
การบริหารเงินกับครอบครัวขยายต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ครับ ตรรกะต้องนำหน้าอารมณ์เสมอ เพราะถ้าเรือลำนี้ล่มเพียงเพราะคุณยอมให้คนอื่นขึ้นมาฝากของจนหนักเกินไป สุดท้ายคุณและคนรักนั่นแหละครับที่จะเป็นผู้ประสบภัยที่ไม่มีใครยื่นมือมาช่วย เมื่อระบบการบริหารเงินของคุณและคนรักเริ่มเดินหน้าอย่างมั่นคง มีทั้งเงินสำรองฉุกเฉินและพอร์ตลงทุนที่กำลังเติบโต สิ่งที่หลายคู่มักจะตกม้าตายคือการ "ลืมสร้างเกราะ" ครับ พวกเขาคิดว่าแค่มีเงินในบัญชีเยอะๆ ก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริงคือ ความมั่งคั่งที่คุณอุตส่าห์สร้างมาเป็นปีๆ สามารถละลายหายวับไปได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ หากเจอวิกฤตที่ใหญ่เกินกว่าเงินออมจะรับไหว
4. "The Shield": สร้างเกราะคุ้มกัน ไม่ให้ความรักต้องพังเพราะค่าหมอ
ใน ผมเคยเปรียบเทียบว่า "ประกันคือเกราะป้องกันโลกการเงิน" ครับ และเมื่อคุณมีคู่ชีวิต เกราะนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อตัวคุณคนเดียว แต่มีไว้เพื่อให้มั่นใจว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มลง อีกคนจะไม่ต้องแบกรับภาระทางการเงินจนล่มจมตามไปด้วย
กลยุทธ์การเลือก "โล่" สำหรับคู่รัก:
- ประกันสุขภาพคือ "Must Have Item": ในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลแพงหูฉี่ การมีประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลืองครับ แต่มันคือการปกป้องเงินในบัญชี MAKE หรือ Kept ของพวกคุณไม่ให้หายไปกับค่าห้องและค่าหมอ ผมแนะนำให้เลือกแบบที่เน้นการคุ้มครอง (Protection) จริงๆ มากกว่าประกันออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำครับ
- ประกันชีวิตคือ "ความรักที่จับต้องได้": หากคุณเริ่มมีการสร้างหนี้ร่วมกัน เช่น ผ่อนบ้าน หรือมีแผนจะมีลูก การมีประกันชีวิตที่มีทุนประกันครอบคลุมภาระหนี้ทั้งหมดคือหน้าที่ครับ มันคือการบอกคนข้างหลังว่า "ต่อให้ฉันไม่อยู่ เธอและลูกจะยังมีบ้านให้ซุกหัวนอน" โดยไม่ต้องไปพึ่งพาความเมตตาจากใคร
- อย่าหลงกล "ประกันออมทรัพย์": ที่พบบ่อยจากตัวแทนคือ "ออมเงินแถมได้ลดหย่อนภาษี" แต่ผลตอบแทนจริงๆ (IRR) มักจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินครับ หากเป้าหมายของคุณคือความมั่งคั่ง ให้เอาเงินไปลงทุนใน S&P 500 แล้วซื้อประกันแบบ "จ่ายทิ้ง" ที่เบี้ยถูกแต่คุ้มครองสูงแทนครับ วิธีนี้จะทำให้คุณมีทั้งเกราะที่แข็งแกร่งและพอร์ตที่เติบโตไปพร้อมๆ กัน
5. ความปลอดภัยโลกดิจิทัล: อย่าให้ "มิจฉาชีพ" มาแชร์กระเป๋าตังค์
นอกจากเรื่องสุขภาพแล้ว ภัยเงียบในยุค 2026 คือแก๊งคอลเซ็นเตอร์และแอปดูดเงินครับ เมื่อคุณมี "บัญชีกองกลาง" ที่มีเงินก้อนใหญ่ การรักษาความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องที่ต้องตกลงกันให้ดี ผมขอให้ความมั่นใจว่าแอปธนาคารชั้นนำในปัจจุบันมีระบบ Security ที่แน่นหนา และยังได้รับการคุ้มครองจาก สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (DPA) สูงสุด 1 ล้านบาทต่อราย แต่จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดมักไม่ใช่ระบบครับ... แต่มันคือ "ตัวเรา" เอง
กฎเหล็กความปลอดภัยสำหรับคู่รัก:
- ห้ามกดลิงก์มั่ว: ตกลงกันให้ชัดเจนว่าจะไม่กดลิงก์แปลกๆ หรือโหลดแอปนอก Store โดยเด็ดขาด
- ตั้งวงเงินโอนให้เหมาะสม: บัญชีกองกลางควรมีการตั้งวงเงินโอนต่อวันที่ไม่สูงเกินความจำเป็น เพื่อจำกัดความเสียหายหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
- แจ้งเตือนร่วมกัน: ใช้ฟีเจอร์การแจ้งเตือนยอดเงินเข้า-ออกผ่าน LINE หรือแอป เพื่อให้ทั้งคู่รับรู้ความเคลื่อนไหวของเงินกองกลางตลอดเวลา ความโปร่งใสนี่แหละครับคือระบบความปลอดภัยที่ดีที่สุด
การซื้อประกันและการระวังความปลอดภัยดิจิทัล ไม่ใช่เรื่องของการมองโลกในแง่ร้ายครับ แต่มันคือ "ปัญญา" ในการยอมรับว่าเราควบคุมทุกอย่างในโลกไม่ได้ แต่เราสามารถ "ควบคุมผลกระทบ" ที่จะเกิดขึ้นกับคนที่เรารักได้ครับ
ในท้ายที่สุดนี้ ผมอยากให้คุณจดจำไว้ว่า การบริหารเงินในชีวิตคู่ไม่ใช่เรื่องของการจ้องจับผิดว่าใครใช้เงินเก่งกว่ากัน แต่มันคือการ "รวมพลัง" เพื่อสร้างอนาคตที่ไม่มีใครต้องอยู่อย่างหวาดระแวงครับ ความรักที่ปราศจากระเบียบทางการเงิน ก็เหมือนกับการพยายามสร้างบ้านบนพื้นทราย ที่แม้จะดูสวยงามในวันที่แดดจ้า แต่ก็พร้อมจะพังทลายลงทันทีที่พายุหนี้สินพัดมาเยือน
บทสรุป วินัยคือการแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
การที่พวกคุณตกลงปลงใจที่จะคุยเรื่องเงินอย่างตรงไปตรงมา การกล้ากางกระเป๋าตังค์ให้กันดู และการยอม "ตัดกิเลส" บางอย่างเพื่อสร้างบัญชีความมั่งคั่งร่วมกัน สิ่งเหล่านี้แหละครับคือการแสดงความรักที่จับต้องได้จริงมากกว่าคำหวานใดๆ มันคือการบอกคนข้างๆ ว่า "ฉันแคร์อนาคตของเรา มากกว่าความสุขชั่วคราวของตัวเอง"
อย่าเป็นคู่รักที่เดินจูงมือกันไปสู่เหวทางการเงินเพียงเพราะความอายที่จะพูดเรื่องเงินครับ จงเป็นคู่รักที่ถือแผนที่ใบเดียวกัน แล้วเดินไปสู่อิสรภาพทางการเงินพร้อมๆ กัน วันหนึ่งที่คุณมองย้อนกลับมา คุณจะขอบคุณความ "ดุดัน" ของตัวเองในวันนี้ที่ทำให้ชีวิตคู่ของคุณมั่นคงอย่างยั่งยืน
เพื่อให้บทความนี้ไม่เป็นเพียงแค่ "ความรู้" (Knowledge) ที่อ่านแล้วผ่านไป แต่กลายเป็น "ปัญญา" (Wisdom) ที่เปลี่ยนชีวิตคุณได้จริงๆ ผมขอส่งท้ายด้วย เช็คลิสต์นัดประชุม CEO ครอบครัว ที่คุณต้องทำทันทีในวันหยุดนี้ครับ
ภารกิจวัดใจสำหรับคู่รัก (The Power Couple Checklist)
- สารภาพบาป (The Grand Reset): กางเอกสารหนี้และทรัพย์สินทั้งหมดออกมาดูร่วมกันแบบไม่อ้อมค้อม เหมือนที่เราเคย ล้างไพ่การเงิน ในวันแรก
- ตั้งเป้าหมาย "เรา" (Joint SMART Goals): ตกลงกันให้ชัดเจนว่าปีนี้เราจะเก็บเงินเพื่ออะไร เช่น "เราจะมีเงินสำรองครบ 1 แสนบาทภายในเดือนธันวาคม" โดยใช้หลักการ การตั้งเป้าหมายแบบ SMART
- วางระบบท่อน้ำเลี้ยง: เปิดบัญชี Digital Saving ดอกเบี้ยสูงร่วมกันเพื่อเป็นกองกลาง และตกลงสัดส่วนการโอนเงินเข้าตามสูตร Me, You, and We
- ขีดเส้นใต้ภาษีสังคม: ตกลงตัวเลขสูงสุดที่จะช่วยเหลือญาติพี่น้องในแต่ละเดือนให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้กระทบ รางวัลชีวิตและอนาคต ของพวกคุณ
- จดบันทึกความสำเร็จ (Family Brag Document): ทุกครั้งที่เก็บเงินได้ตามเป้า หรือลดหนี้ได้ 1 ใบ ให้จดบันทึกความดีความชอบนี้ร่วมกัน เหมือนการทำ Brag Document ในงานประจำ เพื่อเป็นกำลังใจให้กันและกันครับ
การจัดระเบียบเงินในวันนี้ อาจจะดูเหนื่อยและน่าเบื่อ แต่มันคือการซื้อ "ความสงบสุข" ให้กับชีวิตคู่ไปตลอดกาลครับ แล้วพวกคุณจะพบว่า เมื่อปัญหาเรื่องเงินหมดไป ความรักของคุณจะเบ่งบานและมีความสุขมากกว่าที่เคยเป็นมา
บทความถัดไปที่คุณไม่ควรพลาด ในเมื่อจัดการ "คนข้างกาย" ได้แล้ว ด่านต่อไปคือการรับมือกับ "คนรอบข้าง" ที่จ้องจะมาแบ่งเค้กในกระเป๋าคุณ พบกับ EP.16 ภาษีสังคมและการปฏิเสธอย่างมีศิลปะ: วิธีจัดการเมื่อญาติขอยืมเงินหรือเพื่อนชวนใช้เงินเกินงบ โดยไม่เสียความสัมพันธ์... แล้วเจอกันครับ!
#LuMooMoneyStory #StartAgain #Phase2 #MoneyAndRelationships #บริหารเงินคู่รัก






แสดงความคิดเห็น
ร่วมแบ่งปันไอเดียหรือสอบถามได้ที่นี่